ยุคนี้ลูกค้าไม่ได้แค่ดูแบรนด์ — แต่ “จับตาดูว่าแบรนด์จริงใจแค่ไหน”

  • 1
  •  
  •  
  •  
  •  

 

ทุกวันนี้ผู้บริโภคไม่ได้แค่ “ดู” ว่าแบรนด์ขายอะไร แต่เขา “จับสังเกต” ทุกอย่างตั้งแต่วิธีพูด วิธีตั้งราคา วิธีสร้างดราม่า ไปจนถึงวิธีพยายามบีบให้รีบซื้อ หลายๆ ร้านค้า หลายๆ แบรนด์ยังคิดว่า “ลูกค้าไม่รู้อะไรหรอก” เช่น บอกว่ากาแฟชงสดจากใจบาริสต้า แต่เบื้องหลังคือกาแฟซองชงเทขวด แล้วการเล่า Storytelling ซึ้งๆ ว่า “ลาเต้แก้วนี้ผ่านการพิถีพิถันทุกขั้นตอน” พอความจริงหลุดไปไป Social Media ก็จะเจอการคอมเมนต์กระหน่ำทันทีว่า หลอกหลวงผู้บริโภค ถูกตำหนิ ถูกว่าขึ้นมาอย่างแรงทันที (ซึ่งประเทศไทยเพิ่งมีเหตุการณ์นี้กับร้าน Bakery ไปเช่นกัน) นี่ไม่ใช่แค่เรื่องกาแฟแย่ แต่มันคือสัญญาณของยุคที่ลูกค้าไม่ยอมให้ใครมาหลอกง่าย ๆ อีกต่อไป

จาก Edelman Trust Barometer ปี 2025 พบว่า 81% ของผู้บริโภคทั่วโลกเชื่อว่า “แบรนด์พยายามตบตาหรือหลอกลวงผู้บริโภค” และนี่คือบทเรียนสำคัญสำหรับเจ้าของกิจการในไทยที่ต้องทำความเข้าใจไม่ให้ทำตาม

ลูกค้ายุคนี้เห็นกลิ่นความไม่จริงใจได้ทันที ซึ่งผู้บริโภคคนไทยทุกวันนี้เห็นโฆษณาและการขายในแบบมุกเดิม ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ว่าจะเป็น

  • โฆษณาที่ทำดราม่าจนเกินจริงเพื่อขายของ
  • ป้าย “สินค้ากำลังจะหมด” ที่ไม่มีวันหมดจริง
  • กลุ่ม Facebook ที่สร้างขึ้นมาเพื่อหวังขายของทุกโพสต์

ในความจริงแล้วผู้บริโภคไม่ได้ต่อต้านแบรนด์ที่ออกมาทำโฆษณา แต่ผู้บริโภคไม่ยอมให้ตัวเองกลายเป็น “เหยื่อของกลยุทธ์ที่ไม่จริงใจ” ดังนั้นนักการตลาดและเจ้าของแบรนด์ควรหลีกเลี่ยงการทำ 4 วิธีนี้ที่ผู้บริโภครู้ทันแล้วในปี 2025

  1. “เรื่องจริงจากใจ” ที่กลายเป็นละครน้ำเน่า

ลูกค้าเริ่มเบื่อกับการตลาดที่ดึงประเด็นสังคมมาใช้แบบผิวเผิน เช่น โฆษณาน้ำดื่มที่ใช้เด็กยากจนเป็นฉากหลัง หรือ วิดีโอผู้บริหารร้องไห้เล่าว่าเคยล้มเหลว… ก่อนจบด้วยการขายคอร์สหรือสินค้า

 

 

Gen Z ในไทยส่วนใหญ่ไม่เชื่อแบรนด์ที่ใช้คำว่า “ใส่ใจสุขภาพจิต” หรือ “รักโลก” แต่ไม่มีการกระทำที่ชัดเจน สิ่งที่ได้ผลมากกว่า คือการ “ทำจริง” เช่น แบรนด์ในไทยที่เลิกใช้พลาสติกในบรรจุภัณฑ์โดยไม่ต้องพูดเยอะ หรือร้านที่โชว์ต้นทุนและกำไรให้เห็นแบบโปร่งใส

 

  1. การหลอกว่าของใกล้หมดที่กลายเป็นเรื่องหลอกลวง

หลายร้านออนไลน์ในไทยใช้กลยุทธ์นับถอยหลังเช่น “เหลือ 2 ชิ้นสุดท้าย!” หรือ “ลดวันนี้วันเดียว” ทั้งที่ Refresh หน้าใหม่ก็ยังขึ้นเหมือนเดิม

ลูกค้าบางคนถึงขั้นจับภาพหน้าจอไว้ดูว่า ตัวเลขมันหลอกกันหรือเปล่า จาก Baymard Institute ระบุว่า 61% ของผู้บริโภคจะเลี่ยงร้านที่ใช้แรงกดดันแบบนี้ ทางออกคือ “จำกัดจำนวนจริง” และ “บอกล่วงหน้าอย่างโปร่งใส” เช่น ออก Collection พิเศษแบบจำนวนจำกัด และไม่มีการเติมของเพิ่ม

 

  1. การปรับโฆษณาเฉพาะตัวที่กลายเป็นบุกรุกความเป็นส่วนตัว

หลายครั้งจะเคยเจอว่า หลายๆ คนเพิ่งแชตคุยเรื่องสินค้าใน LINE หรือ Facebook กับเพื่อนหรือคนรู้จัก แล้วอีกวันก็เจอโฆษณาสินค้านั้นๆ ทันทีใน Facebook คำถามคือ: ข้อมูลหลุดจากไหนมาได้เพราะไม่ได้ทำการค้นหาอะไรเลย ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ต่อต้าน Personalised Marketing  หากรู้ว่า “ใครเอาข้อมูลผู้บริโภคไปใช้ และใช้ทำอะไร” วิธีแก้คือ ขออนุญาตอย่างชัดเจน และเสนอแบบมีทางเลือก เช่น การเลือกปรับการตั้งค่าเหมือนที่ Spotify ทำ

 

  1. กลุ่มลูกค้าหรือ MLM กลายๆ ?

บางแบรนด์รองเท้าในไทยเริ่มตั้ง “คอมมูนิตี้เฉพาะกิจ” ให้สมาชิกได้สิทธิพิเศษ แต่ต้องโพสต์โปรโมทแลกส่วนลด ถ้าไม่โพสต์ก็เสี่ยงถูกตัดสิทธิ์ จนทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า “นี่คือธุรกิจแชร์แบบอ้อม ๆ” ไม่ใช่คอมมูนิตี้จริง ตัวอย่างที่น่าเรียนรู้คือ Lego Ideas ที่เปิดให้แฟนคลับส่งไอเดีย และโหวตกันอย่างอิสระ หากแบบไหนได้ผลโหวตสูง ก็เอาไปผลิตจริง นี่คือการร่วมมือแบบแท้จริง

 

 

แล้วแบรนด์จะสร้าง “ความไว้วางใจใหม่” ได้ยังไง นั้นคือการไม่ใช่แค่ชวนลูกค้าซื้อ แต่ต้องชวนลูกค้า“ร่วมออกแบบ” แนวทางที่ได้ผลคือ: เปิดให้ลูกค้าโหวตหรือเสนอไอเดียสินค้าใหม่ หรือใช้แบบสอบถาม ไม่ใช่แอบเก็บคุกกี้ และยอมรับในความไม่สมบูรณ์ เช่น แบรนด์น้ำดื่มต่างประเทศที่โฆษณาว่า “เราก็แค่น้ำเปล่า… แต่บรรจุแบบใส่ใจ” พร้อมหยุดใช้คำเร่งรีบปลอม ๆ  ออกมา


  • 1
  •  
  •  
  •  
  •  
Molek
Head of Strategic Marketing ใน Integrated Service Agency ที่หนึ่ง ผู้หลงใหลในหลาย ๆ ที่มีความอยากรู้และเรียนรู้ในเรื่อง Startup, นวัตกรรม, การตลาด จากมุมมองหลาย ๆ ด้านและวัฒนธรรมของแบรนด์ต่าง ๆ