5 เหตุผล ที่ทำให้ “การทำ Positioning ” คือหัวใจของการตลาดยุคนี้

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

 

ในโลกที่ทุกคนสามารถสร้างธุรกิจได้ภายในไม่กี่ Click  และผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่แทบไม่ต่างกัน การทำการตลาดให้โดดเด่นจึงไม่ใช่เรื่องของ “ใครพูดดังกว่า” อีกต่อไป แต่คือ “ใครพูดได้ชัดกว่า” และนั่นคือจุดที่ การทำ Positioning เข้ามามีบทบาทสำคัญที่สุด

การ Positioning ไม่ใช่เรื่องไม่สำคัญทางการตลาด แต่คือกลยุทธ์ที่กำหนดว่าผู้คนจะ “มองแบรนด์อย่างไร” และ “จำแบรนด์ในฐานะอะไร” ท่ามกลางคู่แข่งมากมายที่ดูเหมือนพูดเหมือนกันหมด ถ้าทุกแบรนด์พูดว่า “คุณภาพดี บริการเยี่ยม ราคาคุ้มค่า” ผลลัพธ์คือไม่มีใครฟัง การวาง Positioning จึงเป็นเหมือนการสร้างความแตกต่าง ที่ทำให้แบรนด์หนึ่งโดดเด่นเหนือกว่าอีกพันแบรนด์ที่พยายามขายสิ่งเดียวกัน

สิ่งแรกที่การ Positioning ที่ต้องทำให้ได้ คือการ “Value” ของแบรนด์อย่างชัดเจน  คือกล้าที่จะไม่เหมือนใครแทนที่จะพยายามเหมือนทุกคน การรู้ว่าตัวเองแตกต่างตรงไหน ทำให้แบรนด์ไม่ต้องสื่อสารแบบกว้าง ๆ แต่สามารถสื่อสารตรงจุดกับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เช่น แบรนด์สุขภาพที่ไม่ได้พูดกับ “คนทั่วไปที่อยากแข็งแรง” แต่พูดกับ “คนทำงานที่นอนไม่พอและมีภาวะเครียดสะสม” การ Positioning ที่เฉียบคมเช่นนี้ ทำให้แบรนด์เข้าไปอยู่ในหัวใจของผู้บริโภคได้อย่างแม่นยำ

ข้อดีที่สองของการ Positioning ที่ชัด คือ “อำนาจในการตั้งราคา” แบรนด์ที่รู้ว่าตัวเองอยู่หมวดหมู่ใดในตลาด และเข้าใจคุณค่าที่แท้จริงของตนเอง จะไม่ต้องแข่งด้วยราคาอีกต่อไป ยกตัวอย่าง นักวางแผนการเงินที่ให้บริการทุกคนอาจต้องแข่งด้วยค่าบริการต่ำ แต่ถ้ารู้จัก Positioning ตัวเองให้เชี่ยวชาญเฉพาะกลุ่ม เช่น “ที่ปรึกษาการเงินสำหรับเจ้าของธุรกิจขนาดกลางที่มีรายได้ระหว่าง 3–10 ล้านบาทต่อปี” การเข้าใจลึกซึ้งถึงปัญหาและบริบทเฉพาะของกลุ่มนี้จะทำให้บริการมีมูลค่าเพิ่ม และลูกค้ายินดีจ่ายในราคาที่สูงกว่า เพราะรู้สึกว่า “นี่คือคนที่เข้าใจฉันจริง ๆ”

ต่อมา การ Positioning ที่ดีทำให้ “สารของแบรนด์ติดหัวคน” ได้ง่ายขึ้น เพราะเมื่อรู้ว่ากำลังพูดกับใคร และรู้อย่างแม่นยำว่าคุณค่าของแบรนด์คืออะไร ข้อความที่สื่อออกไปจะเฉียบคมและจดจำง่าย ต่างจากการใช้ถ้อยคำทั่วไปที่ทุกคนพูดซ้ำ เช่น “AI-powered” ที่กลายเป็นคำโหลซึ่งไม่มีพลังอีกต่อไป แบรนด์ที่เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของตลาดและปรับตำแหน่งให้ทัน จึงสามารถสร้างความเข้าใจใหม่ในใจผู้บริโภค และหลีกเลี่ยงความสับสนที่เกิดจากการสื่อสารซ้ำซ้อนกับคู่แข่ง

 

 

นอกจากนี้ การ Positioning ยังทำให้แบรนด์ “ถูกค้นพบได้ง่ายขึ้น” โดยเฉพาะในยุคที่การค้นหาด้วย AI หรือ Search Engine มีความละเอียดและเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ผู้บริโภคไม่ได้ Search คำว่า “เทียนหอม” อีกต่อไป แต่พิมพ์ว่า “เทียนหอมกลิ่นดอกไม้ไทยที่ช่วยลดความเครียด” แบรนด์ที่เข้าใจจุดขายเฉพาะของตัวเองและแสดงออกชัดเจนในทุกช่องทาง จะกลายเป็นคำตอบตรงใจในเสี้ยววินาที และยิ่งไปกว่านั้น การวาง Positioning ยังช่วยให้แบรนด์ “วางคู่แข่ง” ได้อย่างชาญฉลาด คือไม่ต้องโจมตีใคร แต่ใช้การเปรียบเทียบที่ชัดเจนเพื่อสะท้อนว่าทำไมแบรนด์คือทางเลือกที่ดีกว่า

สุดท้าย การมีการ Positioning ที่ชัดเจนช่วยให้แบรนด์ไม่ต้อง “ดิ้นรนเติบโต” อย่างไร้ทิศทาง เมื่อรู้ว่าตัวเองอยู่ตรงไหน ช่วยใคร และแก้ปัญหาอะไร การสร้างการเติบโตจึงไม่ใช่การพยายามจับทุกตลาด แต่คือการโฟกัสพลังทั้งหมดไปยังกลุ่มที่ใช่ การเข้าใจผู้ซื้ออย่างลึกซึ้ง เช่น รู้ว่ากลุ่มลูกค้าในตลาด B2B ต้องการข้อมูล ความเชื่อมั่น และความต่อเนื่องมากกว่าคำโฆษณา ทำให้กลยุทธ์และข้อความสื่อสารทุกชิ้นมีทิศทางเดียวกัน ส่งผลให้แบรนด์เติบโตจากความเข้าใจ ไม่ใช่จากการเสี่ยงโชคทางการตลาด

เมื่อมองให้ลึก การ Positioning ไม่ใช่เรื่องของ “การเลือกคำสวย ๆ” แต่คือการเลือก “จุดยืน” ที่จะยืนในใจผู้บริโภค การ Positioning ที่ดีทำให้แบรนด์มีพลังเหนือ Noise ของตลาด มีอำนาจในการกำหนดราคา มีเรื่องราวที่ผู้คนอยากจำ และมีทิศทางที่ชัดเจนในการเติบโต ที่สำคัญที่สุด มันทำให้ไม่ต้องเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่แข่งกันในเรื่องเดียวกัน แต่เป็นเรื่องที่ตรงใจกับกลุ่มเป้าหมายที่กลุ่มเป้าหมายต้องตั้งใจฟัง เพราะพูดในภาษาที่กลุ่มเป้าหมายเข้าใจ และในเรื่องที่กลุ่มเป้าหมายกำลังมองหา


  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
Molek
Head of Strategic Marketing ใน Integrated Service Agency ที่หนึ่ง ผู้หลงใหลในหลาย ๆ ที่มีความอยากรู้และเรียนรู้ในเรื่อง Startup, นวัตกรรม, การตลาด จากมุมมองหลาย ๆ ด้านและวัฒนธรรมของแบรนด์ต่าง ๆ
CLOSE
CLOSE