เจาะลึก Digital 2026 เมื่อคนไทยตื่นตัวกับ AI เกินครึ่งประเทศ แถมเป็นนักช้อปของสดมือวางอันดับหนึ่งของโลก

  • 8
  •  
  •  
  •  
  •  

หนึ่งในคำถามยอดฮิตของนักการตลาดที่มักจะถูกตั้งข้อสงสัยเสมอว่า ตลาดออนไลน์ยังคงสามารถเติบโตได้อยู่หรือเปล่า สิ่งที่จะมายืนยันได้คงเป็นข้อมูลรายงานด้านดิจิทัล ทั้งรายงาน Digital 2026 Global Overview Report และ Digital 2026: Thailand ที่จะชี้ให้เห็นว่า ตลาดออนไลน์ยังคงมีศักยภาพเติบโต ที่สำคัญยังเผยพฤติกรรมด้านดิจิทัลของคนไทยในแบบที่ทั่วโลกต้องจับตามอง

โดยรายงานดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่าง Datareportal, Meltwater และ We Are Social ซึ่งรายงานนี้ยังชี้ชัดว่า ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ยุคสังคมดิจิทัลโดยสมบูรณ์ ด้วยจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตกว่า 67.8 ล้านคน หรือคิดเป็น 94.7% ของประชากร ด้วยตัวเลขเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า การตลาดออนไลน์กลายเป็นกลยุทธ์หลักที่แบรนด์ต้องให้ความสำคัญ แถมในรายงานยังพบพฤติกรรมด้านดิจิทัลของคนไทยที่ระดับโลกยังต้องหันมาจับจ้อง

 

คนไทยเข้าถึง AI มากกว่าที่โลกคิด

หนึ่งพฤติกรรมด้านดิจิทัลที่โดดเด่นและเห็นได้ชัดเจนที่สุดของคนไทย คงหนีไม่พ้นการใช้งานเทคโนโลยีอย่าง Artificial Intelligence หรือ AI แม้ว่าจะยังมีความกังวลว่า AI จะเข้ามาแย่งงาน แต่ตัวเลขกลับชี้ว่า คนไทยตื่นเต้นกับการใช้งาน AI มากกว่าความกลัว

โดยข้อมูลระบุว่า 48.3% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในไทยรู้สึก “ตื่นเต้น” กับการใช้ AI หมายถึงผู้คนเกือบครึ่งของประเทศไทยสนใจด้าน AI ยิ่งเมื่อเทียบกับความสนใจด้าน AI ทั่วโลกก็พบว่า ความสนใจด้าน AI ของคนไทยใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่มีมีความสนใจถึง 48.7% สะท้อนว่าคนไทยมีเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง AI อย่างเปิดกว้างและเต็มที่ ขณะที่ไนจีเรียและกาน่าเป็น 2 ประเทศที่สนใจ AI มากที่สุดในโลกถึง 77% และ 72.5% ตามลำดับ

สำหรับ AI อย่าง ChatGPT ได้ก้าวขึ้นมาเป็น AI อันดับหนึ่งของโลกที่มีผู้ใช้บนมือถือถึง 557 ล้านบัญชี ครองส่วนแบ่งการส่งต่อทราฟฟิก (Referrals) ในกลุ่มเทคโนโลยี AI ถึง 80.92% ขณะที่ Google Gemini ตามาอย่างห่างๆ ในอันดับรองลงมาด้วยจำนวนผู้ใช้งานบนมือถือ 70.1 ล้านบัญชี และ Deepseek ของจีนที่มาแรงในอันดับสามด้วยจำนวนผู้ใช้งานบนมือถือถึง 59.9 ล้านบัญชี

เมื่อเจาะลึกลงไปในการใช้งาน AI พบว่า กลุ่มคนรุ่นใหม่อายุ 16-24 ปี โดยเฉพาะผู้ชายนิยมใช้ ChatGPT มากที่สุดถึง 43.4% โดยส่วนใหญ่มีการใช้เพื่อคลายเหงากว่า รองลงมาเป็นการใช้ในชีวิตประจำวัน และเพื่อค้นหาข้อมูลต่างๆ เมื่อเทียบกับข้อมูลของไทยก็พบว่าไปในทิศทางเดียวกับทั่วโลก โดยคนไทยเข้าถึงเว็บไซต์ AI มากที่สุดคือ ChatGPT สูงถึง 84.3% โดยที่ Google Gemini ยังคงทิ้งห่างเช่นเดิมที่ 6.32%

ด้วยข้อมูลเหล่านี้เป็นการตอกย้ำว่า คนไทยพร้อมแล้วสำหรับบริการที่ขับเคลื่อนด้วย AI อย่าง Chatbot ที่ผู้บริโภคเริ่มคาดหวังให้แบรนด์มีผู้ช่วยเสมือนที่คุยรู้เรื่อง แก้ปัญหาได้จริงและมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น รวมไปถึงความคาดหวังให้แบรนด์ “รู้ใจ” มากยิ่งขึ้นผ่านการใช้ AI วิเคราะห์ Data ขณะที่ความท้าทายของแบรนด์คือการไปปรากฎอยู่ใน AI ในฐานะคำตอบที่ AI เลือก และการผลิตคอนเทนต์หรือแคมเปญที่สร้างสรรค์ด้วย AI ที่สนุกและจริงใจ โดยไม่ต้องปิดบัง

 

ข้อมูลบนหน้าจอคือที่ปรึกษาด้านสุขภาพ

ช่วงหลายปีมานี้มีการพูดถึง HealthTech อย่างมาก แต่ก็ดูเหมือนจะเกิดได้ช้ากว่าที่คาดการณ์ แต่ดูเหมือนหลังจากนี้การเติบโตของ HealthTech อาจถูกจับตามองอีกครั้ง เมื่อรายงาน Digital 2026 ชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมที่น่าสนใจด้านการดูแลสุขภาพและการออกกำลังกายของคนไทย โดยคนไทยอยู่ในอันดับ 2 ของโลกที่เชื่อข้อมูลด้านสุขภาพออนไลน์

จากข้อมูลระบุว่า 89.3% ของคนไทย ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับข้อมูลดิจิทัลในการดูสุขภาพทุกวัน และประเทศไทยยังติดอันดับ 2 ของโลก รองจากอินโดนีเซียที่ให้ความสำคัญกับข้อมูลดิจิทัลในการดูสุขภาพทุกวันถึง 92% ขณะที่ค่าเฉลี่ยทั่วโลกในการใช้ข้อมูลดิจิทัลเพื่อดูสุขภาพทุกวันอยู่ที่เพียง 80.1% แม้ว่าคนไทยจะเชื่อข้อมูลดิจิทัลเหล่านั้น แต่เมื่อดูการใช้งานแอปฯ ด้านสุขภาพหรือฟิตเนสกลับอยู่ที่เพียง 25.2% ต่อเดือน

อย่างไรก็ตามการใช้งานแอปฯ ด้านสุขภาพหรือฟิตเนสของประเทศไทยก็ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่มีเพียง 23.6% เท่านั้น ขณะที่บราซิลและกาน่าเป็น 2 ประเทศที่มีการใช้งานแอปฯ ด้านสุขภาพหรือฟิตเนสสูงที่สุดในโลกถึง 30.9% และ 29.7% ตามลำดับ แต่สำหรับการตรวจสุขภาพออนไลน์ของไทยกลับมีเพียง 19.5% น้อยกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 24.4%

ข้อมูลเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า คนไทยนิยามการดูแลสุขภาพแบบ “เชิงรับ” มากกว่าการเตรียมรับมือ หรืออธิบายเข้าใจง่ายๆ ว่า คนไทยมักจะค้นหาข้อมูลสุขภาพเมื่อเริ่มมีอาการหรือต้องการวิธีการรักษา มากกว่าการที่จะจัดเก็บข้อมูลในทุกๆ วันเพื่อประเมินและวิเคราะห์โอกาสของการเกิดโรคหรือความผิดปกติที่จะเกิดขึ้น

สิ่งที่แบรนด์ต้องให้ความสำคัญคือเรื่องความถูกต้องแม่นยำ เมื่อคนไทยเชื่อข้อมูลออนไลน์มาก การทำตลาดด้านสุขภาพในปี 2026 จึงควรจะต้องมี Reference หรือข้อมูลอ้างอิงโดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญรับรองเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและเพื่อยืนยันข้อมูล Influencer ที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ตัวจริงจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อสูง มากกว่าดาราที่ถือสินค้าหรือช่วยโปรโมท

 

พร้อมให้ข้อมูลแต่ก็กลัวถูกหลอก

ข้อมูลเหล่านี้กำลังชี้ไปในทิศทางเดียวกัน คือการจัดเก็บข้อมูล แต่เพราะสถานการณ์การหลอกลวง (Scammer) ส่งผลต่อความกังวลเรื่องความปลอดภัย แต่สำหรับคนไทยความกังวลในกรณีดังกล่าวกลับมีรูปแบบพิเศษที่ไม่เหมือนชาติตะวันตก จากข้อมูลพบว่า 65.4% ของคนไทยกังวลเรื่อง “ข้อมูลเท็จ (Misinformation)” หรือข่าวปลอมบนอินเทอร์เน็ต แต่กลับกังวลเรื่องการที่บริษัทต่างๆ นำข้อมูลส่วนตัวไปใช้เพียง 26.6% เท่านั้น

เห็นได้ชัด คนไทยค่อนข้างกังวลเรื่องของข้อมูลเท็จหรือข่าวปลอมมากกว่าความหวงแหนข้อมูลส่วนบุคคล นอกจากนี้ ยังพบว่าคนไทยให้ความสำคัญกับการป้องกันข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตน้อยเพียง 34.1% จากข้อมูลชี้ให้เห็นว่า คนไทยมีแนวโน้มที่จะยอมใส่ข้อมูลส่วนตัว เพื่อแลกกับความสะดวกสบาย ส่วนลดหรือสิทธิพิเศษ (Membership) ซึ่งช่วยให้หลายคนรู้สึกว่า “คุ้มค่า” ที่จะให้ข้อมูล

นี่จึงชี้ให้เห็นว่า แบรนด์ไม่ต้องกังวลในการขอข้อมูลลูกค้า แต่ต้องชี้แจงอย่างโปร่งใสว่าจะนำข้อมูลไปใช้เพื่ออะไร และจะตอบแทนข้อมูลเหล่านั้นอย่างไรเพื่อให้ผู้บริโภคจับต้องได้ทันทีและรู้สึก “คุ้มค่า” ที่สำคัญแบรนด์ต้องสร้างความเชื่อมั่นว่าข้อมูลที่ได้มา “ปลอดภัย” หากมีความรู้สึกว่า “ถูกหลอก” อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อแบรนด์ได้

 

เน็ตยิ่งแรง…ช้อปปิ้งยิ่งสูงตาม

หากลงในรายละเอียดของรายงานจะพบว่า ประเทศไทยมีการใช้งานด้านดิจิทัลสูงมากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของไทยในปี 2026 ขยายตัวมากขึ้น โดยความเร็วอินเทอร์เน็ตบนมือถือเฉลี่ยของไทยพุ่งสูงไปที่ 124.33 Mbps เพิ่มขึ้นถึง 127% จากปีก่อนหน้า

ด้วยความเร็วระดับนี้ทำให้ “ความอดทน” ของผู้บริโภคยิ่งต่ำลงจนแทบไม่อยากรอ เห็นได้จากพฤติกรรมอย่าง

  • เปิด Streaming ต้องสามารถเล่นได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องรอโหลด
  • Live Commerce ที่ต้องมีความคมชัดระดับ HD หรือ 4K อย่างต่ำ
  • สามารถกด F หรือสั่งซื้อสินค้าได้โดยไม่มีความหน่วงหรือดีเลย์

ยิ่งเมื่อความเร็วอินเทอร์เน็ตสูงขึ้น ธุรกิจ e-Commerce จะยิ่งสะท้อนถึงประสิทธิภาพของอินเทอร์เน็ตได้อย่างชัดเจน ที่สำคัญเรื่องการช้อปออนไลน์ คนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก เพราะประเทศไทยไม่ได้แค่ตามกระแส แต่กลับเป็นผู้นำเทรนด์ของโลก ซึ่งจากรายงานชี้ชัดว่า

“ประเทศไทยเป็นเบอร์ 1 ของโลกในด้าน Online Grocery”

นั่นไม่ใช่เรื่องเกินจริง เพราะข้อมูลระบุว่า คนไทยกว่า 43.3% ซื้อของสดออนไลน์ทุกสัปดาห์ทิ้งห่างค่าเฉลี่ยโลกที่ซื้ออยู่เพียง 28.4% เท่านั้น ชี้ให้เห็นว่าพฤติกรรมการช้อปออนไลน์กลายเป็นพฤติกรรมถาวรไปแล้ว จนทำให้การสั่งหมูเห็ดเป็ดไก่สามารถสั่งผ่านแอปฯ ได้จนกลายเป็นเรื่องปกติ เมื่อดูภาพรวมการช้อปออนไลน์ต่อสัปดาห์ คนไทยก็ยังจัดว่าช้อปออนไลน์สูง โดยอยู่อันดับ 2 ของโลกถึง 68.6% เป็นรองแค่ไนจีเรียที่ช้อปถึง 71.3% ในการซื้อสินค้าและบริการออนไลน์รายสัปดาห์

นอกจากนี้ ยังพบคนไทยมีการใช้ Mobile Payment ทุกเดือนสูงถึง 27.7% ที่สำคัญคนไทยยังถือครองเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) ถึง 15.1% เท่ากับเวียดนาม ตอกย้ำความพร้อมด้าน FinTech ที่พร้อมใช้จ่ายผ่าน e-Commerce ดังนั้นแบรนด์ FMCG และสินค้าอุปโภคบริโภค เดินหน้าเต็มสูบสำหรับการบุกตลาด Online Grocery อย่างเต็มตัว สมรภูมิการแข่งขันกำลังจะเปลี่ยนจากชั้นวางสินค้าไปสู่หน้าจอมือถือ

 

Aging ฐานลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่แบรนด์ห้ามทิ้ง

ยิ่งเมื่อลงรายละเอียดไปจะพบว่า ประชากรทั่วโลกมีสูงถึง 8.25 พันล้านคน โดยมีผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเล็กน้อย สำหรับประเทศไทยมีจำนวนประชากรประมาณ 71.6 ล้านคน อยู่ในอันดับที่ 20 ของโลก ลดลง -0.07% ต่อปี ชี้ให้เห็นถึงอัตราการเกิดที่ลดลง โดยโครงสร้างประชากรไทยเปลี่ยนแปลงไปที่กลุ่ม Silver Age ซึ่งพบว่า อายุเฉลี่ยของคนไทยอยู่ที่ 40.6 ปี สูงกว่าค่าอายุเฉลี่ยโลกที่ 30.9 ปี แถมส่วนใหญ่คนไทยเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชายพอสมควร โดยคนไทยมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 76.8 ปี

 

เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า กลุ่มลูกค้ารายใหญ่จำนวนมากอาจไม่ใช่กลุ่ม Gen Z เสียทีเดียว เพราะปริมาณของกลุ่ม Gen X และ Gen Y เป็นกลุ่มที่มีปริมาณมากที่สุด โดยประชากรส่วนใหญ่ของประเทศไทยมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 50-54 ปี โดยมีอยู่ถึง 5.33 ล้านคน ที่สำคัญยังเป็นกลุ่มที่เข้าถึงเทคโนโลยีและมีกำลังซื้อสูง

จากข้อมูลทั่วโลกยังชี้ชัดว่า ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป มีพฤติกรรมด้านดิจิทัลที่น่าสนใจ และอาจสะท้อนถึงแนวโน้มของกลุ่ม Silver Age ในไทยเช่นกัน ทั้ง

  • การค้นหาข้อมูล: โดยกลุ่มผู้ใช้งานอายุ 65 ปีขึ้นไป เน้นใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อค้นหาข้อมูลสูงถึง 78.7%
  • การติดต่อสื่อสาร: โดยใช้เพื่อติดต่อกับเพื่อนและครอบครัวอยู่ที่ 64%
  • ความตื่นตัวเรื่อง AI: โดยข้อมูลระดับโลกพบว่า กลุ่มคนอายุ 55-64 ปี มีความตื่นเต้นเกี่ยวกับ AI ประมาณ 36.1% ซึ่งกลุ่มอายุ 65 ปีขึ้นไปตื่นเต้นกับ AI ถึง 22.2% ชี้ให้เห็นว่า เทคโนโลยีใหม่ๆ สามารถเข้าถึงกลุ่ม Silver Age ได้

 

Social Media ยังเป็นช่องทางที่ขาดไม่ได้

สำหรับคนไทยแล้ว Social Media ยังคงเป้นช่องทางหลักในการใช้สื่อสาร โดย “ชาวโซเชียลไทย” ยังคงใช้งาน Social Media เฉลี่ย 7.3 แพลตฟอร์มต่อเดือน และใช้เวลาบนโซเชียลฯ นานราว 16 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ มากกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 13.45 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

โดย Facebook และ LINE ยังคงเป็นแพลตฟอร์ม Social Media หลัก สำหรับ Facebook มีการใช้งานสูงถึง 89.1% และมีคนไทยใช้งาน LINE ราว 84.4% ขณะที่ TikTok เข้าถึงคนไทยได้ 56.6 ล้านราย คิดเป็น 83.4% ส่วน YouTube มีสัดส่วนการใช้อยู่ที่ 81.3%

ข้อมูลเหล่านี้ยืนยันว่า คนไทยไม่ได้ยึดติดกับ Social Media แพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่ง แต่มีการแตกกระจายไปตามแพลตฟอร์มต่างๆ ดังนั้นแบรนด์จึงไม่ควรสร้างคอนเทนต์เดียวสำหรับลงทุกแพลตฟอร์มได้อีกต่อไป แต่แบรนด์ต้องรู้จักปรับตัวและเข้าให้ได้กับคาแรคเตอร์ของแต่ละแพลตฟอร์ม

รายงาน Digital 2026 กำลังฉายให้เห็นภาพว่า ผู้บริโภคชาวไทยมีความซับซ้อนและล้ำหน้ากว่าที่คิด โดยสิ่งที่แบรนด์ต้องเข้าใจผู้บริโภคให้ลึกขึ้น เมื่อคนไทยได้ชื่อว่าช้อปของสดมากที่สุดในโลก เชื่อข้อมูลมากกว่าและพร้อมรับกับยุค AI ที่ดำลังจะมาอย่างเต็มรูปแบบ ถ้าเทคโนโลยีเหล่านั้นช่วยแก้ไขปัญหาได้ นักการตลาดและผู้ประกอบการจึงควรให้ความสำคัญกับเรื่องของ AI ที่จะมาช่วยขายของและทำให้รู้จักผูบริโภคได้ลึกขึ้น เน้นสร้างคอนเทนต์ที่น่าเชื่อถือ ตรวจสอบได้ และปรับปรุงระบบหลังบ้านรองรับความเร็วของเทคโนโลยี

 

Source: Digital 2026: Global Overview ReportDigital 2026: Thailand


  • 8
  •  
  •  
  •  
  •  
Gigolo
เมื่อเทคโนโลยีอยู่ใกล้กับชีวิตทุกคน มารู้เท่าทันเทคโนโลยีเพื่อใช้มัน แต่อย่าให้เทคโนโลยีมันใช้เรา
CLOSE
CLOSE