3 เหตุผลที่แบรนด์ควรเริ่มลองใช้ Emojis มัดใจผู้บริโภคได้แล้ว

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

Emojis

แม้ Emoji จะถือกำเนิดมานานแล้วแต่หลายคนไม่ทราบว่าการใช้ Emoji อย่างสมเหตุสมผลในการทำงานหลายครั้งก็ช่วยให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นได้

“Emoji เป็นตัวช่วยกำหนดน้ำเสียงของข้อความที่ถูกส่งไปทางสมาร์ทโฟน นอกจากนั้นมันยังมีนัยถึงท่าทาง สีหน้า และอวัจนะภาษาต่างๆ ในการสื่อสารระหว่างบุคคล” นักวารสารมืออาชีพจาก New York University ระบุ

แบรนด์หลายแบรนด์เช่น Chevy, Domino’s และ Budweiser ต่างการใช้ Emoji ในการสื่อสารกับผู้บริโภคไม่ว่าจะเป็นบนแฟลตฟอร์ม Twitter หรือ Facebook แต่หากคุณยังไม่มั่นใจอิทธิพลของมัน ลองดู 3 เหตุผลว่าทำไมคุณถึงควรใช้ emoji กัน

1.คุณสามารถสื่อสารกับวัยรุ่นได้ง่ายขึ้น

ภาษาจะกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้น น่าเบื่อน้อยลง และสั้นขึ้นอย่างมากเมื่อคุณใช้ emojis หากจะคิดให้ลึกขึ้นอีกก็ต้องคิดถึงวาทะอมตะ “รูปภาพหนึ่งภาพสื่อคำได้นับพัน” อีโมจิรูปหนึ่งก็สามารถสื่อความคิดของคุณได้อย่างชัดเจนและหลากหลาย

อย่างไรก็ตาม หลีกเลี่ยงการใช้อีโมจิมากเกินไปเพราะมันทำให้คุณดูเป็นพวกไม่จริงจังและผู้บริโภคจะเริ่มสงสัยในความน่าเชื่อถือของคุณ

2.มอบความสนุกเนียนๆ ไปกับการเสนอเรื่องราวของแบรนด์

ส่วนใหญ่ผู้บริโภคจะไม่ชอบข้อความโฆษณายกเว้นว่ามันมีอะไรสนุกๆ ให้เล่นเช่น ของฟรีให้ดาวน์โหลด การแข่งขัน หรือการสั่งพิซซ่าผ่านอีโมจิ น่าสนใจและอินเทรนด์ใช่ไหมล่ะ?

ตัวอย่างอีโมจิที่ดีต้องอินเทรนด์และเชื่อมโยงกับผู้บริโภคได้ง่าย เช่น อีโมจิหน้าดาราเกาหลี อีโมจิรูปห้องน้ำที่เมื่อกดสามารถเสิร์จหาห้องน้ำใกล้ตัวได้ทันที จุดที่สำคัญคืออีโมจิต้องสื่อสารได้อย่างชัดเจนดังนั้นภายในหนึ่งอีโมจิควรมีเนื้อหาชัดเจนเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

3.ทำให้คอนเทนต์โดดเด่น

ข้อมูลจาก eMarketer ระบุว่าราว 4.55 ล้านคนทั่วโลกใช้มือถือในปี 2014 และราว 25% ในจำนวนนั้นเป็นสมาร์ทโฟน และภายในปี 2017 พยากรณ์ว่าจะมีผู้ใช้มือถือกว่า 5.13 ล้านคนและกว่า 50% เป็นสมาร์ทโฟน

แบรนด์เมเนเจอร์ที่คนรุ่นใหม่ชื่นชอบคือคนที่ทันสมัยและตามเทคโนโลยีทัน การใช้อีโมจิก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยเสริมภาพลักษณ์ทันสมัยแต่ไม่จริงจังให้แก่แบรนด์ และหากคุณสร้างสรรค์อีโมจิที่โดนใจผู้บริโภคเอง คิดดูสิว่าจะมีคนกี่ล้านคนช่วยโปรโมทคุณทุกนาทีโดยไม่ต้องเสียตังค์แพงๆ

Source


  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
อุ้งทีนหมี
เตาะแตะในโรงเรียนชายล้วนแถวยศเส ก่อนเติบโตต่อในมหาวิทยาลัยริมฝั่งน้ำเจ้าพระยา ที่สุดจับพลัดจับผลูเข้าทำงานในนแวดวงสื่อสารมวลชนมาแล้วกว่า 4 ปี โต้ลมโต้ฝนทั้งในวงการข่าวต่างประเทศ เยาวชน ธุรกิจ การเมือง สังคม ฯลฯ แต่สุดท้ายกลับลำมาหลงรักวงการมาร์เก็ตติ้งที่ข้ามน้ำข้ามทะเลไปขี่จิงโจ้เรียนปริญญาโทมา เลยตัดสินใจหันหางเสือออกสู่การผจญภัยครั้งใหม่อีกสักตั้ง