3 ข้อสำคัญในการทำโฆษณาบน YouTube ให้เข้าถึงคนได้มากที่สุด

  • 135
  •  
  •  
  •  
  •  

 

youtube2

ใกล้จะหมดปี 2018 เข้าไปทุกที ทุกครั้งที่ถึงจุดสิ้นสุด ก็เป็นเวลาเดียวกับการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ สำหรับวงการโฆษณาก็เช่นเดียวกัน ตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่กำลังเข้มข้นกันเลยทีเดียว ทั้งการกำหนด Budget วางแผนกลยุทธ์การใช้สื่อ รวมถึงการตกผลึกไอเดียในการสร้างสรรค์งานโฆษณาในแพลตฟอร์มต่างๆ

โดยหนึ่งในแพลตฟอร์มที่แบรนด์และนักการตลาดให้ความสนใจมากที่สุดอย่าง YouTube ได้เผย 3 ข้อสำคัญที่นักการตลาดและแบรนด์ต้องรู้เมื่อทำโฆษณาบน YouTube ซึ่งข้อมูลนี้จะช่วยให้การทำโฆษณามีประสิทธิภาพมากขึ้น เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงขึ้น

ก่อนจะไปดูว่าทั้ง 3 ข้อ มีอะไรบ้าง เรามาเก็บข้อมูลเบื้องต้นที่น่าสนใจกันก่อน

  • 80% ของคนไทยใช้สมาร์ทโฟน
  • 92% ของคนไทยที่ใช้อินเตอร์เน็ตใช้ YouTube
  • 75% ใช้ YouTube ทุกวัน แบ่งเป็นอายุ 16-24 ปี 85%, อายุ  25 – 34 ปี 79% และอายุ 35 ปีขึ้นไป 67%
  • คนชุมชนเมือง 93% ใช้ YouTube เฉลี่ย 70 นาทีต่อครั้ง
  • คนในต่างจังหวัด/ชนบท 92% ใช้ YouTube เฉลี่ย 60 นาทีต่อครั้ง

3 ข้อสำคัญที่แบรนด์และเอเจนซี่ควรรู้เมื่อทำโฆษณาบน YouTube

Impactful Reach: Reach ที่ดีต้องสร้าง Action ได้

คุณไมเคิล จิตติวาณิชย์ หัวหน้าฝ่ายการตลาด Google ประเทศไทย เผยว่า ข้อดีของ YouTube อยู่ที่การทุกคนที่เข้ามามีจุดประสงค์เดียวกันคือ ต้องการดูวิดีโอ ทำให้ YouTube เป็นแพลตฟอร์มที่จับ Attention ของผู้ชมได้ดี กว่า 95% ของผู้ชมจะเห็นและได้ยินเสียงของโฆษณาชิ้นนั้นๆ คุณไมเคิล ขยายความให้เราฟังว่า การจับ Attention ของ YouTube มี 3 ส่วน คือ Viewability (การมองเห็น) + Audibility (การได้ยิน) + Watch Time (ระยะเวลาการเห็น) ทำให้เมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มอื่น โฆษณาบน YouTube มีอัตราการดูจบสูงกว่า 19 เท่า โดยโฆษณาส่วนใหญ่มีความยาว 15-45 วินาที

ตามที่ตัวเลขข้างต้นระบุไว้ว่าสัดส่วนการใช้ YouTube ของคนเมืองและต่างจังหวัดแทบไม่ต่างกัน นั่นแสดงให้เห็นว่า YouTube สามารถเข้ากลุ่มเป้าหมายได้กว้างจริง ทั้งนี้ แม้วิดีโอจะสร้าง Reach ได้ แต่การจะเป็น Reach ให้เป็น Action ได้ ต้องอาศัยการสร้างคอนเทนต์ที่ดี

Real Signal เข้าถึงได้ถูกที่ ถูกเวลา

ปัจจุบัน YouTube มีผู้ใช้งานมากกว่า 1,000 ล้านคนต่อเดือน ทาง YouTube ได้แบ่งกลุ่มคนออกเป็น 3 กลุ่ม คือ ก่อนรู้ว่าอยากได้สินค้า-กำลังมองหาสินค้า-ต้องการซื้อจริงๆ จากการเก็บข้อมูลของ 7 ผลิตภัณฑ์จาก Google ที่เราใช้กันอยู่ทุกวัน (Gmail, Google Maps, Android, Google Play, YouTube และ Chrome) พบว่า ผู้บริโภคในกลุ่มก่อนรู้ว่าอยากได้สินค้า สามารถแบ่งได้ 6 โมเม้นท์ คือ เรียนจบ แต่งงาน เปลี่ยนงาน รีไทร์ เริ่มต้นธุรกิจ และ ซื้อบ้าน ส่วนกลุ่มที่กำลังมองหาสินค้า จะหาข้อมูลผ่านการ Search ด้วยคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับสินค้านั้นๆ โดยตรง เช่น “รถ ครอบครัว” หากแบรนด์เข้าใจโมเม้นท์เหล่านี้ และนำเครื่องมือเข้ามาช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค เพื่อให้ส่งโฆษณาไปหากลุ่มเป้าหมายได้ถูกที่ถูกเวลา คุณไมเคิล ยกตัวอย่างแบรนด์นิสสัน ที่ประสบความสำเร็จในการใช้วิธีให้ฟังว่า สามารถเพิ่มยอดขายได้ 32%

ต่อเนื่องจากการยิงโฆษณามายังกลุ่มเป้าหมาย ขั้นตอนต่อมาคือการกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ YouTube มี Call to Action ด้วยกัน 4 รูปแบบ คือ แอปพลิเคชั่น เว็บไซต์ Shopping และ Location

ข้อสุดท้าย คุณไมเคิล ย้ำว่า ทุกแคมเปญทำแล้วต้องวัดผลได้ (Measurable Business Impact) ทั้งก่อน ระหว่าง และหลังทำแคมเปญ แบรนด์ต้อง Research ข้อมูลเพื่อหาว่าตอนนี้ผู้บริโภคสนใจอะไร และทำคอนเทนต์ที่ตรงกับความสนใจให้ได้ เทรนด์การทำโฆษณาเวลานี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความยาว แต่ขึ้นอยู่กับตัวคอนเทนต์มากกว่า เพราะคนส่วนใหญ่จะดูคอนเทนต์ที่เหมือนคอนเทนต์ทั่วไปบน YouTube เช่น เพลง รายการทีวี หรือซีรี่ย์

อีกหนึ่งผลสำรวจที่น่าสนใจ เกี่ยวกับความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อโฆษณาบน YouTube

–          72% มองว่าการ Skip โฆษณาได้เป็นสิ่งที่ดี

–          72% รู้สึกดีกับแบรนด์ที่ยอมให้กด Skip โฆษณา

–          74% มองว่าโฆษณาบน YouTube มีคุณภาพดีขึ้นในแง่ของการเข้าถึง เป็นโฆษณาที่ตรงกับความสนใจของตัวเอง

–          65% บอกว่า โฆษณาบน YouTube มีส่วนทำให้พวกเขาตัดสินใจซื้อสินค้านั้นๆ

 


  • 135
  •  
  •  
  •  
  •