มาวัดความ Effectiveness ของงาน Creative ด้วยวิทยาศาสตร์มากกว่าความรู้สึกกัน

  • 183
  •  
  •  
  •  
  •  

 

เคยไหมที่มานั่งถกเถียงกันในแง่ที่ว่า งานครีเอทีฟที่ทำออกมา มันใช้ได้หรือใช้ไม่ได้ หรือแม้กระทั่งคิดว่างานครีเอทีฟนั้นจะปังอย่างมาก แต่ปรากฏไปว่า พอทำออกไปแล้วกลับไม่มีใครสนใจเลย ซึ่งทำให้หลาย ๆ คน แม้กระทั่งคนทำงานครีเอทีฟนั้นตั้งคำถามว่า มันผิดที่ตรงไหน และแย่หน่อยว่าหลาย ๆ ที่เมื่อแคมเปญครีเอทีฟนั้นล้มเหลว ก็จะมีการชี้นิ้วไปว่า เป็นแผนที่ผิดไปบ้าง คิดงานมาไม่ดีบ้าง หรือแม้กระทั่งการซื้อสื่อที่ผิดบ้าง

สิ่งที่วงการโฆษณาขาดไปอย่างมาก คือการตัดสินว่าโฆษณาดีหรือไม่ดีจากการที่เอาอารมณ์ ความรู้สึกส่วนตัวมาวัดว่าชิ้นงานนั้นจะประสบความสำเร็จ

 

 

แต่ในความเป็นจริงแล้วคนตัดสินว่าโฆษณาจะดีหรือไม่ดี ไม่ใช่คนทำโฆษณา ไม่ใช่ลูกค้า แต่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่โฆษณานั้น ๆ ขึ้นมานั้นเอง ดังนั้นการวัดผลที่ดีจะทำให้รู้ว่าโฆษณานั้นจะได้ผล หรือไม่ได้ผลมากน้อยแค่ไหน โดยที่การวัดนั้นจะไม่ได้เป็นการวัดจากอารมณ์และความรู้สึก แต่เป็นการวัดด้วยวิทยาศาสตร์ ซึ่งใช้หลักการทางจิตวิทยาที่เรียกว่า Salience

Salience เป็นหลักการทางจิตวิทยาว่า สิ่งที่เรามองเห็นนั้นมีอะไรที่โดดเด่นออกมา จากบริบทแวดล้อมหรือไม่ เช่นในโฆษณาถ้ามีอะไรที่เด่นเตะตาเราทันที จากสิ่งอื่นในโฆษณา สิ่งนั้นเรียกว่า Salience ถ้าอะไรที่กลืนไปหมดกับ background สิ่งนั้นไม่ใช่ Salience ดังนั้นเมื่อวัดว่า ชิ้นงาน ทางครีเอทีฟนั้น มีความที่เป็น Salience หรือไม่ ต้องตอบคำถาม 2 คำถามนี้ให้ได้คือ

1. คนนั้นสังเกตุเห็นที่จะสื่อสารหรือไม่

2. คนนั้นรับสารที่ต้องการสื่อสารจากงานชิ้นนั้นหรือไม่

 

แล้วเราสามารถวัดความเป็น Salience ของชิ้นงานของโฆษณาได้อย่างไร

เราสามารถวัด Salience ได้ด้วยเครื่องมือที่ใช้ algorithm ในการสร้าง Heatmap ของภาพออกมา แล้วมองหาว่า อะไรที่เด่นจากภาพออกมา ซึ่งในยุคนี้มีเครื่องมือมากมายให้ใช้งานการวัดความสำเร็จของงาน Creative ด้วยการใช้เครื่องมือที่เรียกว่าDragonflyAI ซึ่งเครื่องมือนี้ Coca Cola และ Microsoft ต่างก็ใช้ในการที่จะวัดว่าโฆษณาที่ตัวเองทำออกไปนั้น ดีหรือไม่ดีอย่างไร

 

โดยเครื่องมือ DragonflyAI นี้สามารถทำให้

1. วัดว่าชิ้นงานครีเอทีฟนั้นยากที่จะความสนใจหรือไม่ เพราะความสนใจของผู้บริโภคนั้นมีจำกัด การสร้างการดึงดูดความสนใจที่ไม่ดีจะทำให้คนเมินเฉยได้เลย ด้วยเครื่องมือทำให้ลดความผิดพลาดตรงนี้ได้

2. วัดว่า key moment ต่าง ๆ นั้นทำให้ผู้บริโภคสนใจและหาสิ่งที่ต้องการเจอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง CTA ในภาพ หรือข้อมูลสื่อทางการตลาดที่ต้องการวัดผลออกไปนั้น กลุ่มเป้าหมายมองเห็นและรับรู้เพื่อที่จะตอบสนอง

3. หาว่าชิ้นงานที่ทำออกไปนั้นไม่ได้ผลตรงไหน หรือที่ทำออกไปแล้วต้องปรับปรุงอะไรบ้าง ทำให้คุณจะสามารถมีชิ้นงานทีที่ดีขึ้นทมาได้ด้วย

4. ช่วยให้การวัดผลวัดได้ด้วยวิทยาศาสตร์ ไม่ต้องถกเถียงความรู้สึกและมีหลักการที่ให้เหตุผลได้ ทำให้มีข้อมูลที่ใช้ในการทำงานต่อในการที่จุดร่วมด้วยกัน ไม่ใช่เอาความรู้สึกส่วนตัวมาใช้ในการตัดสินใจหรือปรับปรุงงาน

 

ทั้งนี้ด้วยการใช้เครื่องมืออย่าง https://dragonflyai.co/ นั้น จะสามารถนำมาใช้ในการสร้างชิ้นงานให้ดีขึ้นและเหนือกว่าคู่แข่งได้ 3 ทางคือ

1. สร้างชิ้นงานที่แข็งแรงมากขึ้น และ เร็วขึ้น ทำให้ได้ชิ้นงานที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย สื่อสารได้ดี และสามารถตัดส่วนที่ไม่จำเป็นหรือทำให้โฆษณารกขึ้นทิ้งได้อย่างทันที

2. นำมาสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า โดยการหาว่า ลูกค้าต้องโฟกัสอะไรในการสื่อสาร ทำให้เกิดการสร้างประสบการณ์ที่เรียบง่ายที่จะสื่อสารให้ลูกค้าเข้าใจได้ทันที

3. เอามาวิเคราะห์คู่แข่ง ว่าจะสร้างงานให้ดีกว่าคู่แข่งอย่างไร ด้วยการใช้เครื่องมือนี้ จะทำให้เข้าใจว่า สื่อโฆษณาของคู่แข่งมีอะไรที่น่าจดจำหรือทำความเข้าใจได้ทันทีบ้าง ทีมต้องทำงานแบบไหนถึงจะดีกว่าคู่แข่งได้ออกมา


  • 183
  •  
  •  
  •  
  •  
Molek
Head of Strategic Marketing ใน Integrated Service Agency ที่หนึ่ง ผู้หลงใหลในหลาย ๆ ที่มีความอยากรู้และเรียนรู้ในเรื่อง Startup, นวัตกรรม, การตลาด จากมุมมองหลาย ๆ ด้านและวัฒนธรรมของแบรนด์ต่าง ๆ