เปิดใจเพจ Muji Sama โจทย์ยากของการเป็น Pet Influencer บนโลกอินเตอร์เน็ตที่อะไรก็ดราม่าง่ายเหลือเกิน

  • 567
  •  
  •  
  •  
  •  

 

กลยุทธ์การทำ Influencer Marketing ทวีความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เติบโตคู่ขนานไปกับการเพิ่มขึ้นของ Content Editors , Blogger, Influencer, Youtuber ซึ่งพบว่าในทะเลของคอนเทนต์นั้น มีรูปแบบของการสร้างสรรค์งานที่มีการแบ่งย่อยเป็น Segment และ Sub-segment ลงไปเรื่อยๆ ตามความสนใจหรือตามไลฟ์สไตล์ โดยหนึ่งในกลุ่ม Influencer ที่ได้รับความนิยมปัจจุบันและเติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญ ได้แก่ Pet Influencer ไม่ว่าจะเป็น น้องหมา น้องแมว น้องปลา หรือน้องนก ฯลฯ ต่างก็ได้รับการตอบรับที่ดีทั้งจากผู้ชมและแบรนด์ที่พร้อมจะเข้ามาเป็นสปอนเซอร์สนับสนุนการทำคอนเทนต์

ทั้งนี้ Influencer สาย Pet ที่ได้รับความนิยมมายาวนาน และเรียกความเป็นขวัญใจของทั้งทาสแมว ทาสหมา หรือแม้แต่ทาสกระต่าย ได้แก่ เพจ Muji Sama โดยการสร้างสรรค์ของ 2 แอดมินผู้น่ารัก ได้แก่ คุณซุป ศุภณัฐ สุวรรณสัญญา และ คุณจัมโบ้ อดิศักดิ์ อ่องไวการค้า ซึ่งล่าสุดยังได้รับรางวัล Thailand Influencer Awards 2021 สาขา Pet มาครองอีกด้วย โดยทั้งสองท่านจะร่วมพูดคุยถึงรูปแบบการทำงานของ Pet Influencer ซึ่งมีวิธีคิดและวิธีการทำงานที่แตกต่างจาก Influencer ที่เป็นคนอย่างไร น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

 

คุณจัมโบ้ อดิศักดิ์ อ่องไวการค้า เจ้าของ เพจ Muji Sama
คุณซุป ศุภณัฐ สุวรรณสัญญา เจ้าของ เพจ Muji Sama 

จุดเริ่มต้นของครอบครัว Muji Sama

คุณซุป เล่าถึงจุดเริ่มต้นในการเปิดเพจ Muji Sama ว่า ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจที่จะเปิดเพจอย่างจริงจัง เป็นเพียงแค่คนเลี้ยงสัตว์ธรรมดาที่อยากจะลงรูปน้องๆ แบ่งปันกับคนอื่น เพราะจริงๆ พวกเราก็มีอาชีพประจำกันอยู่แล้ว โดยตัวเองเป็นดีไซน์เนอร์ ส่วน “จัมโบ้” เป็นกราฟฟิกดีไซน์เนอร์

“เราตามสัตว์เลี้ยงหลายตัวมาก แล้วรู้สึกว่าเวลามีคนตามเยอะ มีคนมารักสัตว์เลี้ยงของเรา ก็เป็นความภูมิใจอย่างหนึ่ง ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าจะมีชื่อเสียงเพื่อไปทำธุรกิจ อย่างเวลาเรามองเห็น อย่าง Boo (dog) ที่เราตาม ก็มีคนติดตามเป็นหลายล้านเลย มีคนเอ็นดูหมาเค้าน่ารักจังเลย ความรู้สึกประมาณนั้น งั้นเราลองถ่ายรูปลงเพจเล่นกันบ้าง”

พอตัดสินใจว่าจะเปิดเพจให้ “มูจิ” ซึ่งเป็นน้องปอมที่เราเพิ่งได้มา ก็คิดว่าแค่จะถ่ายรูปน้องสวยๆ อย่างเดียวคงไม่ได้ ต้องหาความสามารถอื่นให้น้องด้วย เพื่อให้มีจุดเด่น ซึ่งเราก็ไปค้นคว้าด้วยตัวเองว่าต้องเลี้ยงอย่างไร ฝึกน้องอย่างไรดี จนมีคลิปหนึ่งที่ “มูจิ” เล่นอยู่กับ “เปา” กระต่ายที่เราเลี้ยงไว้ กลายเป็นไวรัลดังและคนก็เริ่มติดตาม ส่วนน้องแมว “มูมารุ” มาทีหลัง แต่ก่อนที่จะนำมาเลี้ยงก็ไปศึกษาเช่นกันว่า พันธุ์ไหนเหมาะสมที่จะเลี้ยงร่วมกับสัตว์ตัวอื่นๆ หรือพันธุ์ไหนมีนิสัยที่ดูแลง่ายเพราะส่วนตัวก็เป็นคนที่กลัวแมวอยู่เหมือนกัน จนตัดสินใจว่า exotic shorthair เหมาะสมที่สุด

“ทุกคนจะบอกว่า หมา แมว กระต่าย อยู่ด้วยกันได้ไง คนก็จะถามกันเยอะ เราก็มีหน้าที่ให้ความรู้ว่า มันอยู่ด้วยกันได้ ไม่ได้เกลียดกัน ไม่รังแกกัน แต่ก็ต้องเลือกสายพันธุ์ที่อยู่ด้วยกันได้ด้วย ซึ่งก็เป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกเลี้ยงสัตว์คนละสปีชีส์ รวมไปถึงการอบรมของเจ้าของด้วยว่าเราจะควบคุมเค้ายังไง ซึ่งก็ให้ความรู้กับคนที่อยากเลี้ยง ผมก็ให้ความรู้กับคนที่ติดตามด้วย”

 

 

 

การเริ่มต้นทำเพจ และเป็น Influencer Pet อย่างจริงจัง

คุณซุป ยังเล่าถึงงานชิ้นแรกที่ได้รับโจทย์จากลูกค้าว่า ตอนแรกที่ทำเพจไปเรื่อยๆ ก็ไม่คิดอะไร แค่คนมาดูน้อง มาชื่นชมน้องก็ดีใจมีความสุขมากแล้ว และหลายคลิปมันก็ไวรัลไปถึงต่างประเทศ พอทำมาได้สักพักใหญ่ก็มีงานแรกเข้ามาเป็นงานจาก Samsung เป็นมือถือ เราก็ตกใจมากว่าเขาสนใจเรา ซึ่งตอนนั้นเราก็มีคนตามไม่มากประมาณ 50,000 คน แต่สำหรับเราก็ถือว่าเยอะแล้ว แต่มีแบรนด์ระดับ Samsung มาติดต่อเลย มันทำให้เราเริ่มรู้สึกแล้วว่าเรามี value เมื่อเราได้งานจากตรงนี้ก็เลยเริ่มคิดว่าน่าจะเป็นอีกอาชีพหนึ่งได้

แล้วจากตรงนั้นเมื่อเราเห็นว่าเราพอจะมีชื่อเสียง เราก็เลยเริ่มคิดที่จะทำเสื้อผ้าสำหรับน้องหมาขึ้นมาด้วย เพราะเราเองเป็นดีไซนเนอร์ “จับโบ้” ก็เป็นกราฟฟิก ทำให้ตัดสินใจทำแบรนด์เสื้อผ้าน้องหมาขึ้นมาโดยใช้ชื่อแบรนด์ตามชื่อเพจเลยคือ MUJI SAMA เท่ากับว่าตอนนี้แบรนด์ของเราไม่ได้อยู่แค่บนเพจแล้ว แต่ตอนนี้มันก้าวมาอยู่ที่โปรดักส์ เมอร์เชนไดซ์ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จค่อนข้างดี แต่เรายังทำในสเกลเล็กๆ อยู่ ไม่ได้ไปถึงระดับผลิตในปริมาณมากๆ ได้ บวกกับพวกเราสองคนก็ยังทำงานประจำด้วยกันทั้งคู่ ทำให้ไม่มีเวลาที่จะมาสานต่อแบรนด์เสื้อผ้าสัตว์เลี้ยงก็เลยพับไปก่อน

แต่ในส่วนของการเพจ MUJI SAMA ที่เล่าเรื่องราวต่างๆ ของน้องและวิธีการเลี้ยงสัตว์มันประสบความสำเร็จ ก็เลยบอกกับจัมโบ้ว่าเรามาทำเพจกันจริงจังไหม เพราะเริ่มมีสปอนเซอร์ มีแบรนด์ติดต่อเข้ามาเรื่อยๆ  ซึ่งต้องบอกว่าการทำเพจของเราค่อนข้างพร้อม คนหนึ่งเป็นดีไซนเนอร์ อีกคนเป็นกกราฟฟิก แล้วเราก็ชวนคุณจีระวัฒน์ สุปีนะ (ซีจี) เพื่อนอีกคนซึ่งเคยทำงานด้านโฆษณามาทำด้วยกัน รวมแล้วตอนนี้มี 3 คนหลักมาอยู่ในทีม ทำให้เราสั่งสมประสบการณ์การทำงานมาเรื่อยๆ เน้นงานที่มีคุณภาพ มีคุณค่ากับตัวเอง ถ้าเวลาทำแล้วเราแฮปปี้ ก็เชื่อว่าคนอื่นดูแล้วก็จะมีความสุขไปด้วย เรียกว่าตอนนี้ค่อนข้างลงตัวสุดๆ

 

 

ข้อจำกัดและเงื่อนไขบางอย่างของการเป็น Influencer Pet

ในการทำงานกับสัตว์ย่อมมีข้อจำกัดบางอย่าง โดยเฉพาะกับน้องสัตว์ขนาดเล็ก ซึ่งคุณซุป ช่วยแชร์เรื่องราวตรงนี้ให้ฟังว่า ปกติจะไม่ค่อยได้ปฏิเสธงานลูกค้าเพราะส่วนใหญ่ลูกค้าจะค่อนข้างเข้าใจการทำงานกับน้องๆ ของเราดี แต่จะมีข้อพิจารณาเป็นพิเศษ สำหรับแบรนด์ที่เป็นอาหารหรือต้องให้น้องเทสต์เข้าร่างกายก็มีที่เคยปฏิเสธไปบ้าง แต่ถ้าเป็นแบรนด์สินค้าที่ใช้ภาพนอกร่างกายอันนี้ไม่ค่อยมีปัญหาอะไร เช่น พวกทรายแมว เครื่องฟอกอากาศ แต่อาจจะมีบ้างที่ขอลูกค้าขยับไทม์ไลน์ออกไป เพราะไม่อยากให้สินค้าชนกัน เพราะเราก็รู้สึกว่าอาจจะทำให้ลูกเพจอึดอัดว่ามีแต่คอนเทนต์ขายของ ก็จะมีการเจรจาว่า อันนี้ขอขยับได้ไหม เพื่อเว้นช่วงบ้าง แต่เราก็โชคดีมากที่ส่วนใหญ่ลูกเพจ หรือแฟนคลับของน้องๆ เข้าใจเราดีมากว่าน้องๆ ต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้องนะ ก็จะค่อนข้างรับได้

“นอกจากนี้ ก็อาจจะมีเรื่องของการถ่ายทำหรือไปอีเว้นท์ที่เราขอพิจารณาเรื่องสภาพแวดล้อมต่างๆ เนื่องจากน้องๆ เป็นสัตว์เล็ก ถ้างานเป็นเอาท์ดอร์ก็อาจจะต้องการพื้นที่ที่มีอากาศถ่ายเท ไม่ร้อนมากเกินไป หรือลูกค้าน่ารักก็จะเอาพัดลมมาเป่าให้น้องๆ จุดนี้ก็จะมีการอธิบายให้ลูกค้าเข้าใจเรา ทำยังไงให้ลูกค้าก็พอใจ ซึ่งสำหรับน้องแล้วควาปลอดภัยสำคัญที่สุด เรายึดตัวน้องเป็นหลัก อะไรที่มันเสี่ยงต่อสุขภาพของเขาเราก็ต้องขอปฏิเสธไป” 

 

 

รับมือดราม่าแรกในชีวิต คือปล่อยเบอลไปก่อนกลับมาตั้งสติ

แน่นอนว่าการเป็น Influencer ยังไงก็หนีไม่พ้นเหตุการณ์ดราม่า ซึ่งแม้แต่เพจสัตว์เลี้ยงคิ้วท์ๆ อย่าง Muji Sama เองก็ไม่รอด แต่คุณซุปและคุณจัมโบ้ ก็สามารถรับมือมันได้อย่างดี

พวกเนกาทีฟ คอมเมนต์ ช่วงแรกมีเหมือนกัน ในช่วงแรกๆ ที่คลิปพุ่งไปถึงหนึ่งแสนเป็นช่วงที่โตไวที่สุด โดยมีช่วงหนึ่งที่นำน้องมูจิแขวนไว้กับหน้ารถยนต์ใช้เสื้อชูชีพแขวน น้องก็ลอยตัวต่องแต่ง ซึ่งเราก็คิดแล้วว่ามันไม่ได้อันตรายนะ เพราะเราเองก็รักน้องมากๆ แล้วเราก็เป็นคนที่ระวังมาก เราก็ค่อยๆ ขับรถออกไป พอเราปล่อยคลิปนี้ออกไป ก็มีหลายคนชอบมากเลยเห็นว่าน่ารักยอดไลก์ถล่มทลายเลย แต่ขณะเดียวกันก็มีคำตำหนิมาเยอะมากเหมือนกันจากต่างประเทศก็มีมาด้วย จนกลายเป็นดราม่าใหญ่โต ออกช่อง 7 เป็นเรื่องเป็นราวเลย ถือเป็นครั้งแรกเลยที่ต้องรับมืออะไรแบบนี้เพราะเราไม่เคยมาก่อน ซึ่งตอนนั้นยอมรับว่าปล่อยเบลอมาก เพราะตั้งตัวไม่ทัน

จนได้สติก็เลยค่อยๆ เขียนอธิบายไปยาวมากๆ ถึงสถานการณ์ทุกอย่างว่าเราได้พิจารณาแล้วตอนทำ ซึ่งก็เห็นว่ามันไม่ได้อันตรายจริงๆ แต่ก็เข้าใจทุกความเห็นและความรู้สึกของทุกคน เราก็จะขอเอาคลิปนี้ลง เพราะเราไม่สบายใจในความไม่สบายใจของคนอื่นๆ ซึ่งหลังจากเหตุการณ์นั้นทำให้คิดกันเยอะมากว่าจะมีดราม่าอีกไหม จะเซนซิทีฟเยอะขึ้นมาก เยอะกว่าเมื่อก่อนด้วยทั้งๆ ที่เมื่อก่อนกว่าก็ว่าเยอะแล้วเพราะเราเน้นเรื่องความปลอดภัยของน้องเป็นหลักจริง

“เราไม่ได้อยู่กับเพราะน้องมีชื่อเสียง แต่ความสุขของเราคือ เราอยู่แล้วเราสบายใจแล้วเห็นคนที่ชอบน้อง รักน้อง สบายใจพร้อมกับเรา มันสำคัญมาก หลังจากนั้นเราก็จะระมัดระวังมากขึ้น จะมีเหมือนกันว่าไม่ชอบคอนเท้นท์นี้หรือดูไม่เหมาะสม ถ้าเราคิดดีแล้ว เราคิดด้วยความรอบคอบแล้ว ก็จะปล่อย ไม่ใช่ทุกคนจะชอบ กดไลก์เราอย่างเดียว จะกดโกรธด้วยความหมายแง่ไหน ไม่เป็นไร ช่างมัน โลกโซเชียลฯ ไม่สามารถควบคุมได้ นี่คือวิธีการรับมือของเรา”

 

 

 

กลยุทธ์การทำคอนเทนต์อย่างไรให้ปัง ถูกใจทั้ง Audience และ Brand 

ในส่วนของการทำคอนเทนต์มุมอของการทำให้ผู้ชมถูกใจ คุณซุป เล่าอย่างอารมณ์ดีว่า ส่วนใหญ่คอนเทนต์ที่เราไม่ตั้งใจทำ คนดูมักจะชอบ บางอันเราคิดว่าอันนี้ต้องปังแน่ น้องไวรัลแน่ บางทีมันก็มีแป้กบ้าง แต่หลายอันที่เราแบบไม่ตั้งใจ พอลงไปปึ้งอ้าวคนชอบเฉยเลยอันนี้ก็มี ซึ่งคิดว่าเป็นเพราะความreal ความที่มันดูธรรมชาติมากๆ ทำให้คนดูชอบ ไม่ต้องเล่าอะไรเยอะ แค่น้องทำท่าแปลกๆ ตลกๆ น่ารักๆ แค่นี้คนก็ชอบแล้ว หรือกรณีที่เราแบ่งปันความรู้ ประสบการณ์ในการเลี้ยงน้องๆ อันนี้คนก็ชอบมากเช่นกัน เพราะเราแชร์จากประสบการณ์จริงที่เราได้เลี้ยงน้องเอง โดยผ่านการศึกษาหาความรู้มาก่อน

ส่วนในมุมของการทำคอนเทนต์กับแบรนด์ เราจะใช้วิธีเล่าเรื่อง (Storytelling) แต่เราจะเล่าเรื่องโดยสื่อสารผ่านภาพ เพราะเราไม่ใช่นักโฆษณาก็ไม่ได้ทำในเชิงของโฆษณาออกมา จุดนี้เลยทำให้เราแตกต่างจากเพจสัตว์เลี้ยงอื่นๆ ก็ได้ เลยทำให้หลายแบรนด์เลือกเรา แรกๆ ก็ทำแบบไม่มีเสียงพากย์ลงไปก็ได้รับการตอบรับที่ดีมาก จนพอไอเดียเริ่มตัน เรากีมีการปรับ ใส่เสียงพากย์ใส่เพลงไปสักหน่อย ให้คอนเทนต์มันมีความวาไรตี้ ลูกค้าจะเห็นถึงความหลากหลายมากขึ้น พอหลายชิ้นมีการสื่อสารเล่าเรื่องที่สนุกลูกค้าจะชอบมากขึ้น

“แต่พวกเราอาจจะโชคดีตรงนี้เราเริ่มต้นมาก่อน เริ่มมานาน 5-6 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่ Facebook ยังไม่มีการปรับอัลกอริทึ่มมากนัก ก็เลยทำให้ไปได้ไกลกว่าคนอื่น แต่พอเริ่มมีการปรับแล้ว ก็ถือว่าเป็นเรื่องยากที่ท้าทายมากขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ยังคงมีลูกค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าเก่าๆ ที่ยังคงชอบในผลงานของเรา คุณภาพงานของเราด้วย”

 

 

Brand ไม่ได้จำกัดเฉพาะผลิตภัณฑ์เพื่อสัตว์เลี้ยงเท่านั้น

อีกจุดที่น่าสนใจมุมคนทำเพจสัตว์เลี้ยงที่ คุณซุป แชร์ให้เราฟังเสริมคือว่า การทำคอนเทนต์กับสัตว์เลี้ยง ไม่จำเป็นต้องเป็นโปรดักส์ของน้องหมาน้องแมวอย่างเดียว แต่สามารถอแด็ปปรับเปลี่ยนได้ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้คน

เราเป็นเพจสัตว์เลี้ยง สินค้าที่จะเข้ามาแน่นอนว่าส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงโดยตรง เช่น พวกอาหาร ของใช้ต่าง ๆ แต่พอมาถึงจุดหนึ่ง พอคนเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเหมือนคนในครอบครัว อาจไม่ใช่ของที่สัตว์เลี้ยงใช้โดยตรง เป็นของที่คนและสัตว์เลี้ยงอยู่ในบริเวณเดียวกัน ก็จะเริ่มมีแบรนด์ที่ไม่ใช่สินค้าเฉพาะสัตว์เลี้ยงเริ่มเข้ามาแล้ว เชน กล้องถ่ายภาพ กล้องวงจรปิด เครื่องฟอกอากาศ แอร์ หรือแม้แต้แผ่นกระเบื้อง ซึ่งจะเน้นเรื่องการทำความสะอาดได้

“ให้น้องเป็นคนเล่าเรื่องถึงความน่ารัก ไม่ใช่ของที่น้องใช้โดยตรง แต่ก็ทำให้คอนเทนต์ดูเข้าถึงได้กับทุกคน สำคัญคือจะขายยังไงให้เล่าเรื่องดูสนุก ในสไตล์ของเราที่ยังความน่ารัก แบบไม่ฮาร์ดเซล ว่าวันนี้ฉันจะมาขายกล้องแล้วมาดูการแสดงของน้องด้วยนะ”

 

คำแนะนำสำหรับคนที่อยากให้เปิดเพจสัตว์เลี้ยงอย่างจริงจัง

สำหรับคำแนะนำในการเริ่มต้นทำเพจของคนที่มีน้องๆ อยู่ที่บ้านแล้วอยากจะทำเพจให้จริงจังบ้าง คุณซุป แนะว่า มันต้องเริ่มจากความรัก คือเราก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายมันจะประสบความสำเร็จไหม แต่พื้นฐานที่ต้องมีก็คือความรัก พอเราเริ่มต้นจากตรงนี้ทำให้เป็นส่วนหนึ่งของเรา เมื่อเรามีความรักก็จะสามารถที่ทำไปได้เรื่อยๆ ไม่หยุด สุดท้ายมันจะสำเร็จสักวัน เพราะเราไม่รู้หรอกว่าอะไรหรือเมื่อไหร่มันจะไวรัล ต้องเรียนรู้และปรับปรุงไปเรื่อยๆ

สำหรับคนที่อยากทำเป็นอาชีพ คุณซุปมองว่า บางทีก็พูดยากเพราะพวกเขาเป็นสัตว์เลี้ยง บางคนก็มีเนกาทีฟเหมือนกันที่ต่อว่า แบบหากินกับสัตว์เลี้ยง มันมีอยู่แล้ว ก็ยอมรับว่าจริง แต่เราเลี้ยงดูเค้าดีมาก เราไม่ได้ใช้งานเขาแบบต้องทำเพื่อเราเท่านั้น ทุกวันนี้การที่เราทำงานกับสัตว์เลี้ยง มันคือคุณค่าทางใจมากกว่า

“อย่างน้องมูมารุที่เสียไป หรือทุกตัวที่เสียไป ภาพของการที่เคยทำงานร่วมกัน มันกลับมาหมด มันเป็นแฟลชแบ็คกลับมาหมด เราเล่นกับเขา นอนกับเขา หรือการที่เราพาไปหาแฟนคลับ ออกไปงานแฟร์ ได้เจอพูดคุยกับคนอื่น ทำให้เรามีโอกาสในการเจอคนใหม่ๆ ประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ยิ่งใหญ่มาก ไม่สามารถเปรียบเทียบได้แบบ (เริ่มน้ำตารื้น) คิดถึงน้อง ผมจะเซนซิทีฟนิดหนึ่ง มันจะรู้สึกเยอะมาก เราอยู่กับเขา ทำอะไรหลายอย่างร่วมกันมา” คุณซุปเล่าไปด้วยเสียสั่นเครือ

 

 

คำแนะนำเรื่องทำใจคือ “ไม่ต้องทำใจ”

“ไม่ต้องทำใจ เสียใจให้เต็มที่ เรารักเค้า มันไม่มีคำว่าทำใจได้ ทุกวันนี้เราก็ทำใจไม่ได้ เราเปลี่ยนจากความเสียใจ ความเศร้า เปลี่ยนเป็นคำว่า คิดถึงเค้า เวลาผมพูดกับทีม ผมก็จะคิดถึงเค้า ผมจะไม่บอกให้ทุกคนต้องมูฟออน คนที่เสียใจมันเสียใจอยู่แล้ว เราใช้คำว่า เข้าใจดีกว่า ผมเข้าใจกับเรื่องนี้เยอะมากว่า วันหนึ่งเราต้องเสียเค้าไป มันต้องจากกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะจากด้วยวิธีไหนก็แล้วแต่ แต่ช่วงที่เราอยู่กับเค้าคือดีมาก ๆ ถ้าคุณคิดว่าคุณมีช่วงเวลาที่ดีกับเค้ามาก ๆ อยู่แล้ว มันจะไม่เสียดายเวลา มันจะมีแต่คำว่า คิดถึง”

เราเจอหลายคนที่สูญเสีย หลายเพจที่สูญเสียสัตว์เลี้ยงไปในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน เราก็หลายตัวเหมือนกัน เพื่อนเราที่เป็นเพจสัตว์เลี้ยงก็หลายตัวเหมือนกัน แต่เราก็มีตัวอื่นที่ต้องโฟกัส ดังนั้น ทุกวันนี้ก็ทำให้ดีที่สุด และนึกถึงน้องไว้ในใจเสมอ

 

ในตอนท้าย คุณซุป ฝากข้อคิดเกี่ยวกับการเป็น Influencer Pet ไว้ว่า

“ท้ายที่สุดแล้วคนที่ทำมันด้วยความสุข รักที่จะทำ ผมไม่อยากให้ทุกคนมองว่าจะเริ่มด้วยการเป็นอาชีพ มันดูเศร้าเกินไปในการมองในอนาคตว่ามันไม่ซัสเซส

คุณจะมีความสุขกับการถ่ายรูปสัตว์เลี้ยงของคุณอยู่ไหม มันแค่นั้นเลยนะ

คุณมอบความสุขให้กับคนอื่น แล้วคนอื่นรับรู้ได้ เขารู้ว่าเราเลี้ยงสัตว์แบบไหน มีความสุขแบบไหน คนก็จะได้รับพลังงานตรงนั้นไปเหมือนกัน”.

 

 


  • 567
  •  
  •  
  •  
  •