มีหลายๆ ครั้งที่ผู้เชี่ยวชาญ หรือนักวิเคราะห์ทางการตลาดหยิบยกเรื่องผลกระทบจากการระบาด COVID-19 มาพูดถึง ซึ่งอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและที่เกี่ยวข้อง มักจะเป็น Top Industries ที่ได้รับผลกระทบ และมีแนวโน้มว่าจะฟื้นตัวยากที่สุด ใช้เวลานานที่สุด ขณะที่กูรูส่วนใหญ่มองไประยะยาวต่างก็ชี้เป็นทางเดียวกันว่า ต้องหลังปี 2565 ถึงจะเห็นว่าธุรกิจดังกล่าวเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวบ้าง
ทั้งนี้ มีมุมมองที่น่าสนใจจากระดับผู้บริหารในแวดวงธุรกิจโรงแรม และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ที่มองคล้ายๆ กันว่า ยังมีโอกาสที่ธุรกิจท่องเที่ยวจะยังฟื้นตัวจาก COVID-19 แต่ก็จะนำมาซึ่ง Big Change – Big Challenge สำหรับธุรกิจนี้ด้วยเช่นกัน
Hyatt Hotels
‘Mark Hoplamazian’ CEO, Hyatt Hotels Corporation ซึ่งดำเนินธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทมากกว่า 900 แห่งทั่วโลก ได้พูดว่า “ขณะนี้เรามาถึงจุดที่โรงแรมและที่พักของเราเปิดให้บริการเกือบหมดทุกแห่งในประเทศจีนแล้ว แต่ก่อนที่จะมีการระบาดอีกครั้งในปักกิ่งเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา เราได้เห็น strong demand เกิน 50% ซึ่งเป็นจำนวนลูกค้าที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของโรงแรม รวมไปถึงแพลตฟอร์ม booking อื่นด้วย”
สำหรับทางรอดและการปรับตัวของ Hyatt, CEO พูดว่า หากต้องการให้ธุรกิจรอดก็ต้องปรับตัว และเป็นการปรับตัวที่ค่อนข้างใหญ่ทีเดียว ซึ่งขณะนี้เรากำลังมองหาประสบการณ์แบบ ‘Hybrid’ เป็นการผสมผสานประสบการณ์จริงที่ลูกค้าสัมผัสโดยตรง กับอีกรูปแบบหนึ่งก็คือ ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย
Hoplamazian ได้ยกตัวอย่างเช่น ‘พิธีแต่งงานไฮบริด’ (Hybrid Wedding) ที่ภายในโรงแรมอาจจะมีแค่คู่บ่าวสาวกับบาทหลวง ส่วนแขกที่มาร่วมงานเราจะใช้วิธี ‘สตรีมมิ่ง’ แทนก็เป็นรูปแบบที่กำลังพิจารณาอยู่ในตอนนี้ “ผมมองว่านอกจากจะช่วยเรื่อง social distancing ได้ ยังตอบรับได้ดีกับยุคที่เศรษฐกิจฝืดเคืองเพราะ Coronavirus แช่แข็งธุรกิจ”
“ผมยังมองว่า โรงแรมและที่พักระดับกลางจนถึงล่าง ไม่ใช่ Top luxury จะมีแนวโน้มเป็นที่นิยมมากกว่า 4-5 ดาวเหมือนเมื่อก่อนที่จะมีการระบาด เพราะทุกคนแม้จะอยากเที่ยวก็อยากจะเซฟเงินไปด้วย”
นอกจากนี้ CEO ยังมองไปถึงโมเดลธุรกิจเกี่ยวกับ ‘ห้องอาหารในโรงแรม’ ที่อาหารประเภทบุฟเฟ่ต์ได้รับความนิยมมากที่สุด ทั้งนี้ อาจปรับเปลี่ยนบริการเล็กน้อย ‘ยกเลิกตักอาหารด้วยตัวเอง’ เป็นเลือกเมนูที่อยากลองกินผ่านแอพพลิเคชั่นของโรงแรม เหมือนเวลาเราช้อปปิ้งออนไลน์ (เลือกสิ่งที่อยากได้ลงตระกร้า) จากนั้นพนักงานจะมาเสิร์ฟให้ถึงโต๊ะอาหาร เป็นต้น
Airbnb
Joe Gebbia, cofounder และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ ที่เล่าไอเดียและความพยายามจะปรับตัวของ Airbnb ว่าขณะนี้พยายาม predict ความต้องการของกลุ่มนักเดินทางให้แม่นยำขึ้นด้วยเทคโนโลยี เพื่อที่จะโปรโมตได้เจาะจงกลุ่มมากขึ้น โดยเขามองว่า ‘การท่องเที่ยวในประเทศ’ จะบูมมากที่สุดในช่วง 2 ปีนี้ “ผมไม่คิดว่าผู้คนจะขึ้นเครื่องเพื่อเดินทางไปต่างประเทศ”
ขณะเดียวกัน นักท่องเที่ยวจะใส่ใจกับ ‘ราคาประหยัด – ความสะอาด – โลเคชั่น’ เป็น Top 3 priorities
สำหรับไอเดียการปรับตัว Gebbia พูดว่า นอกจากพาร์ทการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มหลักสำหรับการ booking ที่พัก Airbnb เห็นกระแสในช่วงที่มีการระบาดซึ่งเปิดโลกให้คนสามารถเข้าถึงแพลตฟอร์มได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคอร์สสอนทำไวน์ Sangria สไตล์โปรตุเกสทางออนไลน์ ซึ่งมียอดจองทล่มทลายมูลค่ากว่า 100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วง 2 เดือนแรกที่เปิดคอร์สนี้
หรือแม้แต่หลักสูตรทำสมาธิจากพระภิกษุในญี่ปุ่นก็เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น ซึ่ง Airbnb มองว่าหลักสูตรนี้จะได้รับความนิยมในสหรัฐฯ ด้วย ขณะที่คนลูกค้าที่ชอบทางนี้ในซานฟรานซิสโกเริ่มเยี่ยมชมแพลตฟอร์ม และซื้อคอร์สในราคา 30 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ทั้งนี้ ยังมีผู้บริหารระดับสูง อย่าง ‘Sonia Cheng’ CEO, Rosewood Hotels & Resorts ในฮ่องกง ซึ่งดำเนินธุรกิจกว่า 28 แห่งใน 16 ประเทศทั่วโลก ก็มองว่า ธุรกิจการท่องเที่ยวและโรงแรมจะค่อยๆ ฟื้นตัว แต่ภาคธุรกิจต้องปรับตัว อย่างน้อยๆ ควรเพิ่มโมเดล ‘remote work’ เพื่อสลับพนักงานในโรงแรมและทำงานจากที่บ้าน
ขณะที่ธุรกิจของเขาได้เปิดหลักสูตรทำค็อกเทล ไปจนถึง ทำอาหารตามฉบับโรงแรม และโยคะคลาส เพื่อเพิ่มความหลากหลายและเพิ่มโอกาสในช่วงที่ COVID-19 ยังคงระบาดอยู่
“คิดว่าโมเดลนี้เราจะทำต่อไป แม้ว่าวันหนึ่งจะมีวัคซีนและสถานการณ์กลับคืนสู่ปกติ เพราะมองว่าคนยังให้ความสนใจในโปรดักซ์ที่เป็น luxury แต่จับต้องได้และเรียนรู้จากที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเข้ามาเรียนในห้องเรียนจริงๆ” Sonia Cheng กล่าวทิ้งท้าย
ที่มา : fastcompany