เรียนรู้ความสำคัญของ Cloud สู่การพัฒนาธุรกิจให้เป็น Digital Culture ผ่านการทำ Lean และ Agile

  • 28
  •  
  •  
  •  
  •  

Photo: สยามราชธานี

หลายคนมักเข้าใจว่า COVID-19 คือจุดเปลี่ยนของธุรกิจ แต่จริงๆ แล้วการ Disruption โดยเทคโนโลยีต่างหากที่เป็นจุดเปลี่ยน COVID-19 เป็นเพียงแค่สถานการณืที่เร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เร็วขึ้น หากไม่มี COVID-19 รูปแบบธุรกิจและพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน อาจเกิดขึ้นในอีก 5 ปีข้างหน้าก็เป็นได้ ดังนั้นธุรกิจที่ยังไม่เข้าสู่โลกเทคโนโลยีจึงจำเป็นต้องรีบปรับธุรกิจของตัวเองเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

หลายธุรกิจพูดถึงการ Digital Culture หรือการปรับธุรกิจให้เข้าสู่ระบบดิจิทัล สำหรับธุรกิจเกิดใหม่คงไม่น่าเป็นห่วง เนื่องจากเป็นธุรกิจที่เกิดขึ้นมาเพื่อรองรับยุคดิจิทัลอยู่แล้ว แต่ธุรกิจที่เกิดมามากกว่า 20 ปีขึ้นไป หรือธุรกิจที่เกิดขึ้นในยุคอาม่าอากง ส่งผ่านรุ่นเตี่ยรุ่นเจ็ก มาจนถึงยุคปัจจุบันกำลังเป็นธุรกิจที่ถูก Digital Disruption การปรับเปลี่ยนของธุรกิจกลุ่มนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญ

ทัศนคติและการผสานแนวคิดคน 2 รุ่น

ความท้าทายอย่างแรกที่ธุรกิจต้องพบเจอคือ ความคิดที่ย้อนแย้งกันของคน 2 กลุ่ม เมื่อคนรุ่นวัยเก๋าไม่เข้าใจเทคโนโลยีและยังพอใจที่จะอยู่ใน Safe Zone กับคนรุ่นใหม่ที่มองเห็นช่องทางดิจิทัลเพื่อขยายตลาด พร้อมรุกตลาดแบบ Agile ทำเร็ว เรียนรู้เร็ว เจ็บเร็ว ขณะที่คนรุ่นวัยเก๋ามองธุรกิจผ่านประสบการณ์มีความรอบคอบสูง ทุกการลงทุนต้องมั่นใจ เหมือนที่บริษัท สยามราชธานี จำกัด (มหาชน) ผู้นำในธุรกิจ Outsourcing มากว่า 40 ปี พัฒนาตัวเองสู่ Tech Company

ดังนั้นการทำ Digital Transformation ประการแรกสำคัญที่สุดคือ ความเข้าใจด้านเทคโนโลยีที่ทั้งคนรุ่นใหม่และคนรุ่นวัยเก๋าจะต้องมองไปในทิศทางเดียว ทัศนคติที่ต้องเห็นภาพแบบเดียวหรือใกล้เคียงกัน แล้วใช้ความรู้ด้านเทคโนโลยีของคนรุ่นใหม่ ผสานความรอบคอบของคนรุ่นวัยเก๋า ในการวางเป้าหมาย ยุทธศาสตร์และกลยุทธ์ทางธุรกิจให้สอดรับกัน ก่อนจะก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัล

siamrajathanee-6
ณัฐพล วิมลเฉลา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามราชธานี จำกัด (มหาชน)

โดย คุณณัฐพล วิมลเฉลา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามราชธานี จำกัด (มหาชน) ชี้ว่า การนำธุรกิจเข้าสู่ยุคดิจิทัล ไม่ใช่แค่การมี LINE@ หรือแฟนเพจ Facebook, Instagram แล้วจะบอกว่า นี่คือการเข้าสู่ยุคดิจิทัลของธุรกิจ ถือเป็นความคิดที่ผิดอย่างแรง เพราะการ Transform สู่ดิจิทัลของธุรกิจต้องปรับเปลี่ยนถึงรูปแบบวิธีการทำงานและกระบวนการความคิดด้วย ส่วนเครื่องมือทางดิจิทัลเป็นส่วนเสริมที่ทำให้การ Transform ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

 

องค์กรต้องรู้จัก Lean และ Agile

2 คำที่องค์กรต้องรู้จักก่อนการ Transform ไปสู่ระบบดิจิทัลคือ Lean และ Agile ซึ่งเป็น 2 คำที่ธุรกิจพูดถึงเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีผลต่อการดำเนินธุรกิจ โดยทั้ง 2 คำมีความหมายที่ใกล้เคียงกัน เริ่มจาก Lean ซึ่งตามความหมายของคำศัพท์แปลว่า ผอมหรือการรีดไขมัน เมื่อนำมาใช้ในทางธุรกิจจะหมายถึงการทำให้ธุรกิจมีความกระชับมากขึ้น

siamrajathanee-8

คุณณัฐพล ยังเพิ่มเติมอีกว่า เพราะทุกธุรกิจมีกระบวนการขั้นตอนที่แตกต่างกัน และแต่ละกระบวนการเหล่านั้นทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ของเสีย” ไม่ว่าจะเป็นผลงานที่ผิดพลาด เวลาที่สูญเปล่าหรือไม่คุ้มค่ากับงานที่ได้ การ Lean จึงเป็นการทำให้ทุกกระบวนการกระชับขึ้น ลดข้อผิดพลาดโดยเน้นเรื่องของความคุ้มค่าในระยะเวลาที่น้อยที่สุด ซึ่งหลักการนี้บริษัทใหญ่ๆ ระดับโลกที่มีการใช้หลักการ Lean อย่างเช่น TOYOTA

โดย TOYOTA แบ่งวิธีการ Lean ไว้ 8 อย่างด้วยกัน ทั้งการลดงานต้องแก้ไข (Defect), ลดการผลิตสินค้ามากเกินไป (Over production), ลดระยะเวลาการรอคอย (Waiting), คัดเลือกความคิดสร้างสรรค์นำมาใช้ประโยชน์ (Non-utilized Talent), ลดการขนย้ายบ่อยๆ (Transportation), ลดปริมาณสินค้าคงคลัง (Inventory), ลดกิจกรรมที่ไม่จำเป็น (Motion) และลดขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน (Excess Processing) ทั้งหมดนี้ยังมีส่วนช่วยลดการใช้เงินลงทุนอีกด้วย

คุณณัฐพล เสริมอีกว่า ขณะที่ Agile คือกระบวนการสร้างประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มขึ้น โดยไม่เน้นขั้นตอนแต่เน้นในเรื่องของการสื่อสารเพื่อให้เกิดความเข้าใจแล้วลงมือทำทันที หากประสบผลสำเร็จก็เร่งพัฒนาต่อยอด หากไม่สำเร็จก็รีบมองหาปัญหาแล้วกลับมาแก้ไขเพื่อทำใหม่ โดยส่วนใหญ่ธุรกิจที่มีพนักงานจำนวนมากจะมีการแบ่งกลุ่มเพื่อทำ Agile ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจสามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็วเช่นที่ “สยามราชธานี”

 

Cloud Computing เครื่องมือสำคัญสู่โลกดิจิทัล

เมื่อองค์กรกระฉับกระเฉงด้วยการ Lean แล้ว และพร้อมทำงานในรูปแบบ Agile สิ่งต่อไปคือการนำระบบต่างๆ ที่มีอยู่เดิม รวมไปถึงข้อมูล (Data) ต่างๆ ของธุรกิจรูปแบบเดิมขึ้นไปสู่โลกดิจิทัลกับระบบ Cloud Computing โดยอาจจะมีการใช้เทคโนโลยี DAM (Digital Asset Management) หรือเทคโนโลยีที่จะแปลงข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ วีดีโอหรือเอกสาร ไปอยู่ในรูปแบบดิจิทัล

Photo: สยามราชธานี

โดยเทคโนโลยี DAM มีความสามารถในการแปลงข้อมูล (Ingestion), ช่วยในการจัดเก็บข้อมูล (Storage), การสืบค้นข้อมูล (Retrieval), เพิ่มความสามารถในการทำงานร่วมกัน (Collaboration) และการบริหารจัดการข้อมูลตลอดวงจรชีวิต (Data Lifecycle Management) เป็นต้น โดยข้อมูลทั้ังหมดจะถูกจัดเก็บไว้ในรูปแบบ Cloud เพื่อช่วยให้สามารถดึงข้อมูลมาใช้ได้ทุกที่ตลอดเวลา

ดังนั้น Cloud จึงกลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญอย่างมากในการ Tramsform จากธุรกิจในรูปแบบเดิมไปสู่ธุรกิจในรูปแบบดิจิทัล ลองนึกว่าดูว่าถ้าต้องการรู้ว่าลูกค้าบริษัท X ที่ผ่านมาเคยซื้อสินค้าอะไรบ้าง ถ้าเป็นรูปแบบเอกสารก็ต้องเริ่มค้นจากชื่อบริษัทและปีที่ทำการซื้อ ซึ่งคงต้องใช้เวลานานมากกว่าจะพบข้อมูล บางบริษัทจัดเก็บไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ แต่ลองนึกดูว่าหากต้องไปพบลูกค้านอกสถานที่ แล้วลูกค้าต้องการทราบข้อมูล คงต้องเสียเวลากลับมาค้นหาข้อมูล หรือเสียเวลาโทรคุยเพื่อให้คนที่ออฟฟิศค้นหาข้อมูล

 

Cloud ไม่ได้มีไว้เก็บข้อมูลเท่านั้น

หลายคนคงเข้าใจว่า Cloud คือพื้นที่จัดเก็บขนาดใหญ่ที่ใดซํกแห่งในโลกใบนี้ ซึ่งไม่ผิดแต่ความสามารถของ Cloud ยังมีอีกมากกว่านั้น ด้วยข้อได้เปรียบที่สามารถใช้งานที่ใดก็ได้ตลอดเวลา ช่วยให้องค์กรลดข้อจำกัดในการซื้อคอมพิวเตอร์หรือระบบเซิฟเวอร์ ช่วยให้พนักงานสามารถทำงานได้ทุกที่แม้จะอยู่ริมทะเลหรือในป่าเขา ขอเพียงให้มีสัญญาณอินเตอร์เน็ตเข้าถึง

นอกจากนี้ Cloud ยังช่วยให้องค์กรลดการซื้อซอฟท์แวร์เพื่อมาติดตั้งกับคอมพิวเตอร์ ด้วยการใช้บริการ SaaS (Software as a Service) โดยไม่จำเป็นต้องเสียเวลาติดตั้งโปรแกรม แค่ Log In เข้าระบบ Cloud ก็สามารถใช้งานโปรแกรมต่างๆ ที่สมัครใช้งานในรูปแบบ SaaS เหนือขึ้นไปอีกขั้นสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่มีงบประมาณจำกัด สามารถเลือกใช้บริการ DaaS (Desktop as a Service) หรือพูดง่ายๆ คือการมีคอมพิวเตอร์ระดับเทพอยู๋บน Cloud

ด้วยบริการ DaaS จะช่วยให้ผู้ประกอบการมีเพียงแค่เครื่องคอมพิวเตอร์ถูกๆ และระบบปฏิบัติการที่สามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต ก็สามารถใช้งานคอมพิวเตอร์สเปคเทพได้ผ่านบริการ DaaS ช่วยลดต้นทุนให้กับธุรกิจและยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานคอมพิวเจตอร์ได้อีกด้วย โดยระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมดจะอยู่บนระบบ Cloud

 

จับตา Blockchain เทคโนโลยีบน Cloud

อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่มีการกล่าวถึงมากที่สุดในยุคนี้คือ Blockchain ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่อยู่บน Cloud 100% โดยเทคโนโลยี Blockchain ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในการซื้อขายเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) สกุล Bitcoin ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่มีความปลอดภัยมากที่สุดในยุคนี้ และสามารถป้องกันการโกงได้ด้วย แถมยังทำธุรกรรมต่างๆ ได้ฟรีแบบ 100%

Photo: สยามราชธานี

ถ้าเปรียบเทคโนโลยี Blockchain ให้เห็นภาพง่ายๆ คงต้องเปรียบกับวงแชร์ แค่ว่า Blockchain ไม่มีเท้าแชร์หรือเจ้าภาพ หากแต่ว่าทุกคนในวงแชร์จะรู้ทุกครั้งว่าใครจ่ายเงินให้ใคร จ่ายเพื่ออะไร มูลค่าเท่าไหร่ จ่ายเมื่อไหร่ ซึ่งทุกคนจะมีสมุดบันทึกไว้คอยบันทึกธุรกรรมต่างๆ ทั้งของตัวเองและของทุกคน หากว่ามีธุรกรรมใดที่เกิดขึ้นโดยที่ทุกคนในวงแชร์ไม่รับรู้รับทราบ ถือว่าธุรกรรมนั้นเป็นการลักลอบทำธุรกรรม เป็นการทำผิด

หรือธุรกรรมใดที่มีข้อมูลผิดแผกแตกต่างไปจากที่ข้อมูลที่ทุกคนในวงแชร์รับรู้รับทราบ ก็ให้ถือว่าธุรกรรมนั้นเป็นการลักลอบทำธุรกรรม เป็นการทำผิด หรือมีความผิดปกติเกิดขึ้นแม้จะไม่มีการทำธุรกรรมใดๆ เลยก็ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิด โดยกระบวนการทุกอย่างที่เกิดขึ้นใน Blockchain จะเกิดขึ้นบนระบบ Cloud

Photo: สยามราชธานี

ระบบ Cloud จึงถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับธุรกิจที่ต้องการ Transform ไปสู่ธุรกิจรูปแบบดิจิทัล ซึ่งในปัจจุบันมีผู้ให้บริการ Cloud ในรูปแบบต่างๆ หลากหลายแพ็คเกจ แต่ทั้งนี้ คุณณัฐพลจากสยามราชธานี ย้ำว่า เนื่องจากธุรกิจต้องเข้าใจว่า ระบบดิจิทัลแม้จะมีประโยชน์มาก มีความปลอดภัย ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและลดต้นทุน แต่ก็ยังมีโอกาสที่ข้อมูลอาจรั่วไหลได้ ข้อมูลใดที่เป็นความลับทางธุรกิจมีความสำคัญมาก ก็ยังจำเป็นต้องใช้เอกสารเพื่อความปลอดภัยของข้อมูล


  • 28
  •  
  •  
  •  
  •  
Gigolo
เมื่อเทคโนโลยีอยู่ใกล้กับชีวิตทุกคน มารู้เท่าทันเทคโนโลยีเพื่อใช้มัน แต่อย่าให้เทคโนโลยีมันใช้เรา