MAGURO ดึงประสบการณ์ยุคเอโดะ เปิดแบรนด์ ‘บินโช’ ลูกคนที่ 6 หัวแถวโมเดลร้าน ‘อิโรริ’ ยึดจุดแข็ง ‘คู่แข่งน้อย-ตอบเทรนด์สุขภาพ-เล่าสตอรี่ได้เยอะ‘

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

 

ภายในบ้านญี่ปุ่นสมัยก่อน หลุมเตาไฟกลางบ้านที่บรรจุถ่านไม้เผาไฟเปรียบเสมือนศูนย์กลางความอบอุ่นที่ทุกคนในครอบครัวจะมารวมตัวกันเพื่อหนีความหนาวเย็นยามค่ำคืน ทั้งยังเป็นพื้นที่ทำอาหารเมนูต่างๆ โดยหนึ่งในกรรมวิธีที่หลายคนน่าจะเคยเห็นคือการนำเนื้อ หรือปลาสดเสียบไม้แล้วปักเพื่อปิ้งเนื้อจนสุก ทำให้เกิดเอกลักษณ์ของกลิ่นหอมควันถ่านบางๆ ในเนื้ออย่างที่หาได้ยากในกรรมวิธีการปรุงอาหารแบบปัจจุบัน

 

ซึ่งพื้นที่เตาไฟกลางบ้านแห่งนี้ ได้มีชื่อเรียกเฉพาะตัวอย่าง “อิโรริ” (Irori, 囲炉裏) 

– 囲 (i) = ล้อมรอบ

– 炉 (ro) = เตาไฟ/เตา

– 裏 (ri) = ข้างใน, ด้านใน

 

เมื่อรวมกันจึงมีความหมายในแนวว่า การรวมตัวกันล้อมรอบเตาไฟ และกลายเป็น หัวใจของวิถีชีวิตชาวญี่ปุ่นดั้งเดิมไป

 

แรงบันดาลใจนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ คุณจักรกฤติ สายสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง MAGURO Group ได้เดินทางไปยังหมู่บ้านโทโนโบะ พื้นที่ห่างไกลจากโตเกียว เพื่อสัมผัสวัฒนธรรมชนบทญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด และได้พบกับเตาอิโอริดั้งเดิมที่ยังคงใช้งานจริงในบ้านคนท้องถิ่น

ประสบการณ์ครั้งนั้นจุดประกายความประทับใจในศาสตร์การย่างอาหารด้วยไฟถ่าน ทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงความอบอุ่น และความละเอียดอ่อนในทุกขั้นตอนการใช้ชีวิตแบบญี่ปุ่น จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์น้องใหม่คนที่ 6 ในเครือ ‘มากุโระ กรุ๊ป’ อย่าง ‘บินโช’ (Bincho) ที่นำเตาอิโอริดั้งเดิมมาเป็นแกนกลางสำคัญในการขับเคลื่อนแบรนด์ ภายใต้คอนเซปต์ ‘Washoku for now’ ทั้งยังมีส่วนอื่นๆ ของวัฒนธรรมญี่ปุ่นดั้งเดิมเปิดให้บริการสาขาแรก ที่ ศูนย์การค้าเมกาบางนา ชั้น 1 ในวันที่ 9 กรกฎาคมนี้ 

 

โมเดลที่แทบจะไร้คู่แข่ง 

 

 

คุณจักรกฤติ แชร์ว่าก่อนหน้านี้ตนได้ไปสำรวจตลาดโมเดลร้านแบบเตาอิโอริ พบว่าแทบไม่มีคู่แข่งเลย จึงอยากนำประสบการณ์ตรงนี้มาเล่าในอีกมุมสไตล์มากุโระ 

“โมเดลส่วนใหญ่ที่มีการใช้เตาอิโอริยังเป็นร้านอิซากายะ ซึ่งเน้นกินดื่มเป็นหลัก บินโชจึงสร้างความแตกต่างด้วยการนำเสนอเมนูอาหารเป็นมื้อจริงจัง และโฟกัสที่การสร้างประสบการณ์ทั้ง Live Kitchen ที่ลูกค้าจะได้เห็นกรรมวิธีการปรุงอาหารที่ไม่เหมือนใครด้วยเตาอิโอริ ไปจนถึงการตกแต่งร้านที่อิงสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิม”

นอกจาก ความโดดเด่นในตลาดด้วยโมเดลที่คู่แข่งยังน้อย ยังสามารถตอบเทรนด์สุขภาพด้วยการโฟกัสเรื่องสารอาหารครบถ้วนในหนึ่งมื้อ ไม่ใช่แค่อิ่มท้องอย่างเดียว ผสานเข้ากับกลยุทธ์การตลาดที่เน้นการเล่าเรื่องและสร้างประสบการณ์ ทำให้เข้าถึงหัวใจคนรักอาหารญี่ปุ่นในยุคนี้ได้ไม่ยาก

 

โฟกัสกลุ่ม ‘Premium-Mass’ ชูกลยุทธ์การตลาด ‘Storytelling’ – Cross Marketing ผ่านแบรนด์ในเครือ

 

 

หากอ้างอิงจากฐานข้อมูลเมมเบอร์ชิปของเครือมากุโระทั้งหมดราว 250,000 คน จะพบว่าว่าลูกค้าส่วนใหญ่ใช้จ่ายที่ราว 300-800 บาทต่อหัว และมีความถี่ในการมาทานที่ 1-2 ครั้งต่อเดือน ในขณะที่กลุ่มผู้บริโภค Premium-Mass โดยทั่วไปใช้จ่ายอยู่ที่ 100-400 บาท ทำให้เห็นว่าฐานลูกค้าเครือมากุโระใช้จ่ายสูงกว่าค่าเฉลี่ยอยู่ ด้านแบรนด์บินโชซึ่งวางกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มครอบครัวสมัยใหม่ Premium-Mass ช่วงอายุ 25-35 ปี เช่นกันจึงจับราคาอยู่ที่ช่วง 300-600 บาทต่อมื้อที่แม้ว่าจะสูงกว่าค่าเฉลี่ย แต่ยังใกล้เคียงกับแบรนด์อื่นๆ ในเครือ 

แม้ในสนามธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นจะเต็มไปด้วยคู่แข่งมากมาย แต่สำหรับในไทยยังเติบโตขึ้น เพราะสุดท้ายแล้วคนไทยชอบอาหารญี่ปุ่นมาก และญี่ปุ่นเองยังเป็นเมืองจุดหมายปลายทางของคนไทยอันดับต้นๆ อยู่เสมอ โดยตลาดร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยตอนนี้อยู่ที่ราว 20,000 ล้านบาท ทั้งยังเป็นเซกเมนต์ที่เติบโตดีที่สุดด้วย

ในด้านของเกมการตลาดของบิงโช มองจุดแข็งเป็นสตอรี่ของแบรนด์ที่สามารถหยิบจับมาเล่า+มาเล่นได้หลากหลายแง่มุม ตั้งแต่ความเป็นมาเตาอิโริเอง ไปจนถึงวัตถุดิบ และเมนูต่างๆ กลยุทธ์ Storytelling จึงถูกยึดเป็นแกนหลักที่มีศักยภาพมาก นอกจากนี้ยังเตรียมแผน Cross Marketing กับแบรนด์อื่นๆ ในเครือ ซึ่งมีศักยภาพสูงเช่นกัน อย่างในศูนย์การค้าเมกาบางนาเอง มีแบรนด์ในเครือมากุโระไปแล้วสามแบรนด์ เป็นต้น

 

‘Next Step MAGURO’ ดันแคมเปญ 10 ปีต้าน ‘สงครามราคา’-เปิดสาขาใหม่รวม 8 สาขา โฟกัสพื้นที่นอกเมือง-ตั้งเป้าโต 30%

 

จักรกฤติ สายสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง MAGURO

 

ดันแคมเปญ 10 ปี สู้สงครามราคา

 

ในวาระครบรอบ 10 ปี MAGURO Group ยืนยันจุดยืนชัดเจนว่า จะไม่เข้าสู่สงครามราคาแบบที่พบในตลาดร้านอาหารญี่ปุ่นช่วงหลัง แต่เลือกใช้กลยุทธ์สร้าง “ความคุ้มค่าที่แตกต่าง” ผ่านแคมเปญฉลองใหญ่ รวบรวมวัตถุดิบพรีเมียมที่คนไทยนิยมมานำเสนอในราคาพิเศษ ส่งต่อประสบการณ์อาหารคุณภาพสูงในราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือกระแสตอบรับดีมาก ยอดขายช่วงแคมเปญเติบโตเหนือความคาดหมาย พร้อมตอกย้ำภาพลักษณ์ของ MAGURO ในฐานะผู้นำร้านอาหารญี่ปุ่นที่เน้นมาตรฐานและคุณภาพเป็นหัวใจสำคัญ ขณะเดียวกันก็ยังปรับตัวให้เหมาะกับสถานการณ์เศรษฐกิจ ด้วยการบริหารต้นทุนอย่างรอบคอบและเน้น cost efficiency ในทุกมิติ

 

เปิดสาขาใหม่รวม 8 สาขา เล็งพื้นที่นอกเมือง

 

  • BINCHO 1 สาขา
  • MAGURO Sushi 2 สาขา
  • HITORI Shabu 2 สาขา
  • AOKI Tonkatsu 2 สาขา
  • แบรนด์ใหม่จากญี่ปุ่นอีก 1 สาขา

 

– โฟกัสพื้นที่นอกเมือง เช่น บางนา แจ้งวัฒนะ ซึ่งยังมีกำลังซื้อดีต่อเนื่อง
เพราะ ในช่วงที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง ร้านในเมืองได้รับผลกระทบยอดขาย แต่สาขานอกเมืองแทบไม่ได้รับผลกระทบ เพราะฐานลูกค้าหลักคือคนไทยที่ยังคงจับจ่ายตามปกติ
– แม้จะขยายไปนอกเมือง แต่โดยรวม MAGURO Group ยังรักษาสมดุลทั้งในเมืองและนอกเมือง เพื่อรับมือความเปลี่ยนแปลงในระยะยาว

 

ตั้งเป้าโต 30%

 

MAGURO Group ไม่หยุดแค่แคมเปญหรือการขยายสาขา แต่ยังวางเป้าหมายเติบโตทั้งยอดขายและพอร์ตแบรนด์อย่างต่อเนื่อง ปีนี้ตั้งเป้าโต 30% ทั่วทั้งเครือ แม้ต้องเจอกับความผันผวนของเศรษฐกิจและปัจจัยภายนอกที่คาดไม่ถึง ทีมผู้บริหารยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าด้วยแผนขยายสาขาใหม่และการพัฒนาแบรนด์ใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อให้ทุกสาขาในเครือเป็นตัวแทนของมาตรฐานคุณภาพ ความคุ้มค่า และประสบการณ์แบบญี่ปุ่นที่แตกต่างจริงในตลาดไทย

 


  •  
  •  
  •  
  •  
  •