มัลติแบรนด์ความงามฮอตไม่เลิก รายเก่า-รายใหม่สู้ไม่ยอมถอย ชู ‘ราคา-Excusive Brand -โลเคชั่น’ ท้าชิงตลาด 2 แสนล้าน

  • 85
  •  
  •  
  •  
  •  

 

cats

หลายธุรกิจอาจเกิดอาการสะดุดจากภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ไม่เป็นใจ แต่ไม่ใช่กับธุรกิจเครื่องสำอาง ซึ่งไม่ว่าเศรษฐกิจจะตกสะเก็ดแค่ไหน ก็ยังมีการเติบโต โดยปัจจุบันตลาดเครื่องสำอางในไทยมีมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท เติบโตเฉลี่ยที่ 6.5-7 % ต่อปี  ทำให้ตลาดนี้เป็นตลาดที่ใคร ๆ ก็ต้องการเข้ามา โดยเฉพาะร้านมัลติแบรนด์ด้านความงาม

สำหรับปัจจัยที่ทำให้ตลาดเครื่องสำอางในไทยมีการเติบโต ก็เพราะว่า

1. เทรนด์รักสวยรักงามไม่ได้จำกัดในกลุ่มผู้หญิงอีกต่อไป ยังขยายไปสู่กลุ่มผู้ชายที่สนใจดูแลตัวเอง ซึ่งเป็นกลุ่มที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก จนมีหลายต่อหลายแบรนด์ออกสินค้ามาจับกลุ่มนี้โดยเฉพาะ

2. อายุของลูกค้าที่ขยายวงกว้างขึ้น จากเดิมกลุ่มผู้ซื้อหลักจะเป็นคนวัยทำงาน ปัจจุบันเริ่มตั้งแต่วัยทีนไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ และ 3. สินค้ามีความหลากหลายและมีให้เลือกในหลายระดับราคา ตั้งแต่หลักสิบบาทไปจนหลักหมื่นบาท ด้วยความหลากหลายที่ว่านี้ ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดนี้มีการเติบโตไม่ใช่น้อย

สำหรับร้านมัลติแบรนด์ความงามในบ้านเราเอง มีผู้เล่นกว่า 10 ราย ที่เราคุ้นเคย อาทิ เซโฟร่า (Sephora) ร้านความงามมัลติแบรนด์ชื่อดังจากต่างประเทศ ส่วนแบรนด์ไทย อย่างเช่น อีฟแอนด์ บอย , บิวเทรียม ฯลฯ ซึ่งการแข่งขันในธุรกิจนี้ก็ไม่ต้องพูดถึง เรียกได้ว่า ดุเดือด ทั้งการเข้ามาของผู้เล่นรายใหม่ที่มีอย่างต่อเนื่อง ขณะที่รายเดิมก็ไม่ยอมถอย เดินหน้าขยายสาขาและกระตุ้นยอดขายเต็มกำลัง

 น้องใหม่ ‘เฮ้ สตรีท บิวตี้’ ส่ง Format หลากหลายท้าชิงตลาด

004 HEJ Street Beauty

อย่างที่บอกไปแม้ร้านมัลติแบรนด์ความงาม จะแข่งกันดุเดือดแค่ไหน ก็มีผู้เล่นรายใหม่กระโจนเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง น้องใหม่รายล่าสุด ได้แก่ ‘เฮ้ สตรีท บิวตี้’ (HEJ Street Beauty) ของ บริษัท ซีโฟร์ โกลบอล จำกัด ที่มาในคอนเซปต์ Shop Chill Charge Share

 

“ตลาดนี้มีความท้าทายพอสมควร ซึ่งก่อนจะเข้ามาเราศึกษาตลาดและคู่แข่งมา 2-3 ปี สิ่งที่เห็นแม้การแข่งขันจะสูง แต่ยังมีช่องว่าง โดยเฉพาะตลาดต่างจังหวัด ที่ยังไม่มีแบรนด์ใดเข้าไปจับชัดเจน เพราะส่วนใหญ่จะกระจุกตัวในกรุงเทพฯ เราจึงต้องการเข้าไปเจาะตลาดนี้ ขณะที่ตลาดในกรุงเทพฯก็ให้ความสำคัญ” จารุวัลย์ วงศ์เจษฎาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีโฟร์ โกลบอล จำกัด เล่าให้ฟังถึงแผนรุกตลาดร้านมัลติแบรนด์ความงาม

ด้วยความเป็นน้องใหม่ของตลาด จึงต้องพยายามสร้างความต่างให้กับตนเอง โดยเน้นให้เข้าถึงลูกค้าให้ได้มากที่สุด และเป็นที่มาของการวางให้ Format  ของ‘เฮ้ สตรีท บิวตี้’ ต้องมีความหลากหลาย ตั้งแต่รูปแบบของชอป ขนาดพื้นที่ 250 ตร.ม. มีแบรนด์ภายในร้าน 200-250 แบรนด์ สาขาแรกเปิดที่ตึกญาดา ย่านสีลม และมีชอปขนาดใหญ่ พื้นที่ 500-1,000 ตร.ม. มีแบรนด์ประมาณ 500 แบรนด์ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการหาไพร์ม โลเคชั่นในการเปิดอยู่

นอกจากนี้ยังมีร้านเครื่องสำอางเคลื่อนที่ (Beauty Mobile) ทั้งในรูปแบบร้านขนาดเล็ก (Beauty Box) รถขายสินค้าความงามเคลื่อนที่  (Beauty Truck) และตู้ขายสินค้าความงามอัตโนมัติ (Beauty Vending Machine) ที่จะกระจายให้ครอบคลุมทั่วประเทศมากที่สุด

“ไม่สะดวกมาที่ร้าน เราจะไปหาคุณเอง เพราะโลเคชั่นเป็นเรื่องสำคัญในการแข่งขัน  อย่าง Beauty Truck ที่จะเริ่มช่วงปลายปีนี้ประมาณ 100 คัน เป็นรถวิ่งไปตามแหล่งชุมชนต่าง ๆ มีสินค้าราว 1,000 SKU เน้นไซด์เล็ก ราคาอยู่ในหลักสิบถึงร้อยบาท ให้ตัดสินใจซื้อง่ายๆ”

capture-20180328-180243

ชู One Stop Beauty Station เพิ่มความต่าง

สำหรับเรื่องราคาและโปรโมชั่น ที่เป็นจุดแข่งขันในธุรกิจนี้ จารุวัลย์บอกว่า เป็นเรื่องพื้นฐานที่ทุกคนต้องมี การสร้างความต่างของแต่ละร้าน จึงต้องมาวัดที่การสร้าง Customer Experience เพราะทุกวันนี้ลูกค้าไม่ได้มาแค่ซื้อสินค้า แต่มาหาประสบการณ์ที่ดี

เรื่องนี้ ทางเฮ้ สตรีท บิวตี้ จะชูการเป็น One Stop Beauty Station มาสร้างความแตกต่างจากผู้เล่นรายอื่น ๆ โดยภายในร้านจะมีพื้นที่ให้ลูกค้ามานั่งชิล ด้วยการมีมุมเครื่องดื่ม และมีมุมสำหรับชาร์จไฟ Gadget  ต่าง ๆ

นอกจากนี้ยังมี Nail bar , Beauty bar และเซอร์วิสด้านความสวยความงามต่าง ๆ ที่ขาดไม่ได้คือ มุมให้ทดลองแต่งหน้าโดยผู้เชี่ยวชาญประจำร้าน และในอนาคตจะมีการพัฒนาOmni Platform ออกมา เพื่อสร้างประสบการณ์การชอปที่ดีให้กับลูกค้าแบบไร้รอยต่อ หรือ seamless experience ไม่ว่าจะผ่านช่องทางออฟไลน์หรือออนไลน์

“เรื่องโปรดักท์ เรามี International team ดูแลโดยเฉพาะ ซึ่งปัจจุบันมีเอ็กซ์คลูซีฟแบรนด์ในมือแล้ว ทั้งจากสหรัฐอเมริกา ยุโรป และเกาหลี รวมถึงแบรนด์ไทยที่จะเข้ามาเป็นทางเลือกให้กับลูกค้า และในอนาคตจะมีการสร้างแบรนด์ของตนเองขึ้นมา”

ตามแผนที่วางไว้ภายในสิ้นปีนี้ จะมีการขยาย 10 สาขา ทั้งกรุงเทพฯและตามหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัด มียอดขายจะอยู่ที่ 500-600 ล้านบาท จากนั้นในอีก 3 ปี จะขยายให้ครบ 100 สาขาในไทยและอาเซียน โดยตลาดอาเซียนโฟกัสที่ อินโดนีเซีย กัมพูชา เวียดนาม ลาว และพม่า ซึ่งการขยายไปต่างประเทศจะทำให้ยอดขายเพิ่มเป็น 3,000 ล้านบาท

 

อีฟแอนด์บอยอัพตลาดสู่กลุ่มไฮเอนด์

ขณะที่ผู้เล่นรายเดิมและดังในตลาดนี้อย่าง ‘ อีฟแอนด์บอย’ ที่เพิ่งฉลองครบรอบ 12 ปีไปเมื่อไม่นานนี้ ก็พยายามอัพตลาดของตัวเองจากกลุ่มกลางขึ้นไปสู่กลุ่มไฮเอนด์ ด้วยการจัดแคมเปญเปิดตัว 7 แบรนด์เอ็นดอร์สเซอร์ ที่เป็นตัวแทนแฟชั่นนิสต้าและผู้นำเทรนด์บิวตี้ มาช่วยขยายฐานลูกค้าในครั้งนี้ และพยายามตอกย้ำถึงการเป็นผู้นำร้านมัลติแบรนด์สัญชาติไทยที่เป็น Global Partner กับแบรนด์เครื่องสำอางระดับโลกแห่งเดียวในอาเซียน

เซฟาร่า

ขณะเดียวกัน ก็มีแผนขยายสาขาต่อเนื่อง ตามแผนที่วางไว้ คือ 4 สาขาต่อปี จากปัจจุบันมีสาขาอยู่ที่ 12 สาขา โดยเน้นร้านขนาดใหญ่ 500-1,000 ตร.ม. เพื่อให้มีสินค้าและแบรนด์ที่หลากหลายตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้มากที่สุด พร้อมกับพยายามคัดเลือกแบรนด์และสินค้าใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความน่าตื่นเต้นให้กับลูกค้าตลอดเวลา ซึ่งปัจจุบันทางอีฟแอนด์บอยมีสินค้าอยู่ในมือกว่า 1,000 แบรนด์ ที่สำคัญ คือ การตั้งราคาที่ต้องถูกสำหรับจูงใจให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น

ส่วน‘บิวเทรียม’ ผู้เล่นอีกรายได้พัฒนาคอนเซปต์ร้านใหม่ให้ทันสมัย และมีสีสันมากขึ้น พร้อมกับเน้นสร้าง Customer Experience ด้วยการเพิ่มพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมหรือให้ลูกค้าได้ทดลองสินค้าภายในร้าน ส่วนการขยายสาขานั้นวางไว้ 3-5 สาขาต่อปี ทั้งในกรุงเทพฯและหัวเมืองต่างจังหวัด พร้อมกับพัฒนาช่องทางอีคอมเมิร์ซ รองรับการสั่งสื่อออนไลน์ที่จะเปิดให้บริการเร็ว ๆ นี้

แม้กลยุทธ์การแข่งขันของร้านมัลติแบรนด์แต่ละรายจะเดินไปในทิศทางเดียวกัน คือ  ทุกแบรนด์จะชูเรื่องราคาและโปรโมชั่นเป็นธงนำ ตามด้วยการหาเอ็กซ์คลูซีฟแบรนด์ เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง  และพยายามหาแบรนด์ใหม่เข้ามาสร้างความน่าสนใจภายในร้าน

รวมถึงให้ความสำคัญในเรื่องของ โลเคชั่น ที่ต้องครอบคลุมพื้นที่ โดยหลัก ๆ คือ พยายามเข้ายึดทำเลใจกลางเมือง หรือ ผู้บริโภคเดินทางมาซื้อสินค้าได้อย่างสะดวก แต่ลึก ๆ แล้ว แต่ละรายจะมีกิมมิคและยุทธวิธีที่แตกต่างกันไป เพื่อดึงให้ลูกค้าเข้ามาจับจ่ายภายในร้านของตนเองให้มากที่สุด

ส่วนใครจะประสบความสำเร็จแค่ไหน ต้องติดตามกันต่อไป และเชื่อว่า ในอนาคตเราจะเห็นผู้เล่นรายใหม่กระโดนเข้าสู่ตลาดร้านมัลติแบรนด์เพิ่มขึ้นอีกอย่างแน่นอน เพราะตลาดเครื่องสำอางยังมีการเติบโตที่น่าสนใจ ยิ่งเมื่อเทียบกับ 2 ประเทศที่เป็นผู้นำในตลาดนี้อย่าง ญี่ปุ่นและเกาหลีด้วยแล้ว ไทยยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ขึ้นอยู่ว่า แต่ละรายจะเลือกวางกลยุทธ์ในการเดิมเกมธุรกิจไว้อย่างไร

Copyright© MarketingOops.com


  • 85
  •  
  •  
  •  
  •