ไม่ใช่ครั้งแรกที่แบรนด์ระดับโลกอย่าง “Nike” กล้ากระโดดลงมาทำแคมเปญในขณะที่สถานการณ์ “ดราม่า” กำลังรุนแรง เพราะโฆษณาล่าสุดอย่าง “Don’t Do It” ที่เพิ่งปล่อยออกมา ก็อยูในช่วงที่สหรัฐอเมริกาต้องเผชิญกับการประท้วงในหลายพื้นที่ ซึ่งรุนแรงจนมีการประกาศใช้เคอร์ฟิว จากจุดเริ่มต้นเรื่องเจ้าหน้าที่ตำรวจกระทำเกินกว่าเหตุในการจับกุมชายผิวสี “จอร์จ ฟลอยด์” จนเขาเสียชีวิตในที่สุด แน่นอนว่าเรื่องนี้สร้างความไม่พอใจต่อผู้คนเป็นอย่างมาก
สิ่งที่ Nike ลุกขึ้นมาทำโฆษณาเช่นนี้ ก็เหมือนเป็นการยืนยันว่า “แบรนด์ให้ความสำคัญกับคนทุกคน” และผลงานชิ้นนี้จะใช้แค่พื้นหลังสีดำ อักษรสีขาวกับประโยคกระแทกใจ ใส่เพลงประกอบ โดยไม่ได้มีพรีเซนเตอร์หรือใช้ภาพประกอบเรื่องราว ก็อย่าคิดว่าโฆษณา Don’t Do It จะจืดชืด เพราะตรงกันข้าม! โฆษณาดังกล่าวถูกพูดถึงและถูกแชร์ไปอย่างแพร่หลาย และหากจะถามว่าอิมแพ็คแค่ไหน ก็แค่…คู่แข่งขันในสนามเดียวกันอย่าง “Adidas” ยัง รีทวิต คิดดู!!!
https://twitter.com/adidas/status/1266594990559379457
แต่ก็อย่างที่บอกไปแล้ว นี่ไม่ใช่โฆษณาชิ้นแรกที่ Nike ออกมาแสดงบทบาทต่อสถานการณ์ความขัดแย้งทางสังคม โดยเฉพาะประเด็น “สีผิว” เพราะก่อนหน้านี้ แบรนด์ก็เคยสร้างแคมเปญลักษณะดังกล่าว โดยอิงกับเหตุการณ์ครบรอบ 30 ปี กับ “Just Do It” สโลแกนประจำแบรนด์ ด้วยการเลือก “Colin Kaepernick” อดีตนักกีฬาอเมริกันฟุตบอล ซึ่งมีประเด็นถูกต่อต้านจากชาวอเมริกันบางกลุ่ม มาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับแบรนด์ ซึ่งเรื่องราวตอนนั้น เกิดจากการที่เขาต้องการแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับการตัดสินคดีๆ หนึ่ง ที่ผู้คนมองว่าไม่ได้ให้ความเป็นธรรมแก่คนผิวสี จนเขาได้แสดงออกด้วยการคุกเข่าลงในช่วงเคารพเพลงชาติสหรัฐก่อนเริ่มการแข่งขันจากปกติที่จะต้องยืนตรง กระทั่งกลายเป็นกระแสให้นักกีฬาอเมริกันฟุตบอลคนอื่น ๆ ทำตาม และถูกวิจารณ์อย่างกว้างขวาง แม้แต่ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ยังออกมาต่อว่าเขาว่าเป็นพวกชังชาติ
แม้ว่าจะมีกระแสโจมตี Colin Kaepernick จากคนจำนวนหนึ่ง แต่แบรนด์ Nike ก็ยังแสดงจุดยืนชัดเจนที่จะเลือกเขาเป็นพรีเซนเตอร์ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้น ก็แบ่งแยกความนิยมในแบรนด์อย่างชัดเจน เพราะมีทั้งคนที่สนับสนุนและคัดค้าน ว่ากันว่า…สถานการณ์ตอนนั้นขยายวงกว้างและส่งผลกระทบถึงหุ้นของแบรนด์เลยทีเดียว ยังไม่นับกระแสบนโลกโซเชียลที่มีแฮชแท็ก #NikeBoycott และมีการเผา ทำลายสินค้า Nike ที่มีอยู่ในบ้านอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม แบรนด์ Nike ก็ยังคงยืนหยัดและแข็งแกร่งกับการแสดงจุดยืน “ต่อต้านการกระทำที่ไม่เป็นธรรมต่อคนผิวสี” จนถึงผลงานโฆษณาชิ้นล่าสุด