หากย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว วงการธุรกิจร้านอาหารได้ถือกำเนิดแบรนด์ใหม่ที่ถือว่าว้าวในยุคนั้น! นั่นคือ แบรนด์ “ชาบูชิ” (Shabushi) ในเครือโออิชิ ที่มาพร้อมจุดเด่นเป็น “บุฟเฟต์ชาบูและซูชิ” เสิร์ฟบนสายพาน วันเวลาผ่านไปสถานการณ์การแข่งขันในธุรกิจร้านอาหารดุเดือดยิ่งขึ้น เกิดเทรนด์อาหารใหม่ ๆ และมีร้านอาหารใหม่แจ้งเกิดมากมาย ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกหลากหลาย
ด้วยความที่ “ชาบูชิ” อยู่ในตลาดมายาวนาน 20 ปี ถือเป็นรุ่นพี่แห่งวงการชาบูและซูชิในไทย ดังนั้นเพื่อให้แบรนด์ยังคงอยู่ในใจคนรุ่นใหม่ทุกยุคสมัย จึงได้ตัดสินใจรีเฟรชแบรนด์ครั้งใหญ่ พร้อมทั้งจับกระแส Fandom Marketing เปิดตัว “สกาย – นานิ” เป็นพรีเซนเตอร์ของแบรนด์ ปรับภาพลักษณ์และยกระดับร้าน Shabushi ไม่ใช่แค่ร้านอาหารที่มานั่งรับประทานบุฟเฟต์เพื่อเอาอิ่มเท่านั้น แต่ยังเป็น “Social Bonding Platform” สำหรับ Gen Z
20 ปี “ชาบูชิ” รุ่นพี่แห่งวงการซาบู–ซูชิในไทย สู่การรีเฟรชแบรนด์ เข้าถึง Gen Z
จากจุดเริ่มต้นของ “ชาบูชิ” ภายใต้บริษัท โออิชิ โฮลดิ้ง จำกัด ที่เปิดให้บริการในปี 2544 ด้วยการผสานอาหารญี่ปุ่นยอดนิยม 2 สไตล์เข้าด้วยกัน คือ “ชาบู – ชาบู” และ “ซูชิ” ภายใต้คอนเซ็ปต์การเสิร์ฟอาหารบนสายพานรายแรกๆ ในไทย
“ย้อนไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ชาบูชิเกิดขึ้นจากการเห็นอินไซต์ผู้บริโภคไทยชอบกิน Hot Pot หรือสุกี้ จึงเกิดไอเดียเอาชาบู และซูชิมารวมกัน โดยวางกลุ่มเป้าหมายหลักเป็น Young Gen ซึ่งในยุคนั้นคือ Gen Y ถึงวันนี้ผู้บริโภค Gen Y เติบโตมาพร้อมกับชาบูชิที่ดำเนินธุรกิจมา 20 ปี จนกลายเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่อยู่ในความทรงจำของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง และเป็นแบรนด์รุ่นพี่ในวงการชาบู–ซูชิในไทย
แต่ทุกวันนี้ในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนเร็ว โดยเฉพาะพฤติกรรมผู้บริโภค ธุรกิจร้านอาหารจำเป็นต้องปรับตัวให้เร็วกว่า ด้วยกลยุทธ์ที่ไม่ใช่แค่การตอบสนอง แต่ต้องเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของลูกค้าให้ได้ ผ่านแบรนด์ที่มีบุคลิก มีอารมณ์ร่วม และมีความเข้าใจอย่างแท้จริง
แบรนด์ชาบูชิ เป็นแบรนด์ที่มีศักยภาพสูงในการเข้าถึงคนรุ่นใหม่ ด้วยภาพลักษณ์ที่สดใหม่ สนุก และพร้อมเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เราจึงทำการยกเครื่องแบรนด์ให้เข้าถึง Young Generation ในยุคนี้ คือ Gen Z ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการ เพื่อให้ “ชาบูชิ” สามารถเชื่อมโยงกับคนรุ่นใหม่ได้อย่างลึกซึ้งและยั่งยืน จนนำไปสู่การรีเฟรชแบรนด์ครั้งใหญ่ในครั้งนี้” คุณแซม ไพศาล อ่าวสถาพร ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจอาหาร (ประเทศไทย) บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เล่าถึงเส้นทางชาบูชิ และก้าวต่อไปจากนี้

5 กลยุทธ์ ดันชาบูชิเป็น “Social Bonding Platform” ยกระดับประสบการณ์เป็นมากกว่าร้านอาหาร – ไม่แข่งสงครามราคา
ภารกิจรีเฟรชแบรนด์ครั้งนี้ “ชาบูชิ” ต้องการปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้เป็นมากกว่าร้านอาหารประเภทชาบู – ซูชิ แต่คือการเดินหน้าทำความเข้าใจและเชื่อมต่อกับผู้บริโภครุ่นใหม่ ไม่ใช่แค่ระดับของการตลาด แต่ลึกถึงระดับอารมณ์ ความรู้สึก และประสบการณ์ที่แบรนด์สามารถมอบให้ได้ โดยยึดหลักว่า ร้านอาหารในวันนี้ไม่ได้ขายแค่อาหาร แต่คือพื้นที่ “Social Bonding” ของความสัมพันธ์และการสร้างคุณค่าร่วมระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค เพื่อสร้างประสบการณ์ความรู้สึกร่วมกับคนรุ่นใหม่
“แบรนด์ที่อยู่มานานไม่จำเป็นต้องแก่ แต่ต้องกล้าพอที่จะเปลี่ยนไปพร้อมผู้บริโภค ในฐานะแบรนด์/ร้านอาหารญี่ปุ่น ที่อยู่กับคนไทยมานานกว่า 20 ปี วันนี้ ชาบูชิ ต้องการเป็นมากกว่าความอร่อย เราอยากเข้าไปอยู่ในอารมณ์ ความรู้สึก และความสัมพันธ์ของคนรุ่นใหม่ ผ่านประสบการณ์ที่เขาอยากเล่า แชร์ และกลับมาอีก
ประกอบกับปัจจุบันผู้บริโภคไม่ได้แค่ต้องการประสบการณ์มากินแล้วอิ่ม แต่ผู้บริโภคยังมองถึงว่าแบรนด์นั้นมีคุณค่ากับลูกค้าหรือเปล่า เพราะฉะนั้นการรีเฟรชแบรนด์ครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่เปลี่ยนภาพลักษณ์ แต่เป็นการปรับวิธีคิดจากข้างใน พร้อมออกแบบประสบการณ์ใหม่ให้เชื่อมโยงกับพฤติกรรมจริงของผู้บริโภค ด้วยความเชื่อว่า ร้านอาหารยุคนี้ไม่ได้ขายแค่อาหาร แต่คือแพลตฟอร์มที่สร้างความรู้สึกร่วม และสร้างคุณค่าให้กับทุกโมเมนต์ของลูกค้าได้จริง ๆ” คุณศสัย ตังเดชะหิรัญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โออิชิ โฮลดิ้ง จำกัด กล่าว

การเป็น “Social Bonding Platform” ที่เข้าไปอยู่ในใจคนรุ่นใหม่ “ชาบูชิ” เดินหน้า 5 กลยุทธ์หลัก ประกอบด้วย
1. จับกระแส Fandom Marketing เปิดตัว #สกายนานิ พรีเซนเตอร์ใหม่
ต้องยอมรับว่ากลยุทธ์ที่มาแรงแห่งยุคนี้ คือ “Fandom Marketing” หลายแบรนด์จึงเลือกศิลปินที่มีฐานแฟนด้อมและคอมมูนิตี้เหนียวแน่น มาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับแบรนด์ เพื่อให้พรีเซนเตอร์เป็นตัวแทนของแบรนด์ในการสื่อสารภาพลักษณ์ บุคลิก และเชื่อมโยงแบรนด์กับแฟนคลับ
หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของการรีเฟรชแบรนด์ครั้งนี้ คือ การเปิดตัวพรีเซนเตอร์คู่แรกของแบรนด์ ได้แก่ คู่มิตรภาพ(สุดฮอต)แห่งปี #สกายนานิ “สกาย” วงศ์รวี นทีธร และ “นานิ” หิรัญกฤษฎิ์ ช่างคำ เป็นตัวแทนของความสดใส มิตรภาพ และพลังบวก ในแบบที่ผู้บริโภครุ่นใหม่สามารถเชื่อมโยงได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ทั้งยังสะท้อนถึงเอกลักษณ์ของแบรนด์ ที่รวมความแตกต่างแต่ลงตัว ทั้งชาบู – ชาบู และซูชิ สองรสชาติที่ขาดกันไม่ได้ และช่วยยกระดับแบรนด์ให้ดูเข้าถึงง่ายแต่มีเสน่ห์ เหมาะกับกลุ่มวัยรุ่นและกลุ่มแฟนคลับที่มีอิทธิพลต่อเทรนด์ในโซเชียล
2. สร้าง “Emotional Experience” ผ่าน 3 แกนสำคัญ
นอกจากนี้ชาบูชิ ได้ใช้กลยุทธ์ Emotional Experience โดยดึงจุดแข็งและแนวคิดหลักของแบรนด์ “รสชาติความสุขไม่สิ้นสุด” (Good Taste Great Time Never End) มาพัฒนาต่อยอดสู่ประสบการณ์ที่เชื่อมโยงทั้งอารมณ์และความฟิน ผ่านสามแกนสำคัญ Quality – Creativity – Great Moment (engagement)
– Quality – Shabushi ALL-STAR SERIES: ยกทัพเมนูชาบู – ชาบู และซูชิที่ใช้วัตถุดิบคุณภาพ ให้ลูกค้าได้สัมผัสถึงความใส่ใจ ความคุ้มค่า และความอร่อยอย่างต่อเนื่อง ในทุกครั้งที่มาใช้บริการ
– Creativity – Shabushi SUSHI-MASTER SERIES: ยกระดับประสบการณ์ซูชิ…ข้าวปั้นสารพัดหน้า ด้วยเมนูใหม่ที่สร้างสรรค์โดยมาสเตอร์เชฟ เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 มิถุนายนนี้เป็นต้นไป ตอบโจทย์ทั้งคอซูชิจริงจัง และนักกินสายแชร์
– Engagement – Shabushi Great Moment: เสริมความประทับใจด้วยบริการที่อบอุ่น และกิจกรรมในร้านที่สร้างโมเมนต์สนุกอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกมื้อไม่ใช่แค่กิน แต่คือความรู้สึกดี ๆ ที่น่าจดจำและอยากกลับมาอีก
3. เปิดตัวแคมเปญ “All You Can กรี๊ด” สื่อสารครบวงจร
แคมเปญ “All You Can กรี๊ด” เป็นแคมเปญที่ชาบูชิจัดขึ้นให้กับลูกค้า ทั้งลูกค้าปัจจุบัน และกลุ่มใหม่ ด้วยการโปรโมทผ่านสื่อแบบครบวงจรทุกช่องทาง ผ่านเครื่องมือที่หลากหลาย เพื่อชวนผู้บริโภคร่วมติดตามการสื่อสาร กิจกรรมการตลาดและโปรโมชั่นพิเศษที่จะทยอยปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง
เช่น จัดงานแถลงข่าวในรูปแบบกึ่งแฟนมีต, ภาพยนตร์โฆษณาออนไลน์ที่มี “สกาย – นานิ” ร่วมถ่ายทอดเรื่องราว และส่งต่อรสชาติความสุขไม่สิ้นสุด, การปล่อยเพลงธีมพิเศษ ที่เชิญแฟน ๆ ร่วมสนุก รวมทั้งเตรียมพบกับกรี๊ด…เมนู ที่มีเซอร์ไพรส์น้ำซุปสกาย และน้ำซุปนานิ ร่วมกัน Co-development กับแบรนด์, กรี๊ด…Hour เซอร์ไพรส์สุดพิเศษจากแบรนด์, กรี๊ด…Passport ร่วมกิจกรรมและสะสมพอยท์
4. ลงทุนสาขา – เตรียมพบกับเคานเตอร์ซูชิ ทำสดใหม่จากมาสเตอร์เชฟ
ปัจจุบันชาบูชิ มีกว่า 190 สาขา ในปี 2568 เปิดเพิ่มอีกกว่า 10 สาขา และวางแผนเปิดอีก 10 สาขาในปี 2569 โดยไม่เน้นกลยุทธ์เปิดหว่าน แต่ใช้การเลือก Strategic Location ที่เหมาะสมกับแบรนด์
นอกจากนี้การรีเฟรชแบรนด์ครั้งนี้ ยังได้ทยอยรีโนเวทสาขา โดยในชวงปลายเดือนมิถุนายนปีนี้ เตรียมพบกับเคาน์เตอร์ซูชิพร้อมเชฟซูชิ หรือ Sushi Master มาทำซูชิสดๆ ให้กับลูกค้าถึงร้าน เริ่มสาขาแรกที่ซีคอน สแควร์ ศรีนครินทร์ จากนั้นจะทยอยปรับปรุงร้านสาขาต่างๆ และมีเคาน์เตอร์ซูชิ
5. โฟกัสการส่งมอบ “ความคุ้มค่า” ไม่แข่งสงครามราคา
แม้เวลานี้ในธุรกิจร้านอาหารกำลังแข่งขันสงครามราคากันอย่างดุเดือด แต่สำหรับชาบูชิแล้ว เลือกที่จะส่งมอบ “ความคุ้มค่า” มากกว่ากระโดดเข้าไปแข่งราคา ซึ่งปัจจุบันราคาชาบูชิ มี 3 ระดับ ได้แก่ 399 บาท, 499 บาท, 599 บาท
“ความคุ้มค่าคือสมการ ที่ประกอบด้วยการทำให้ลูกค้าได้ทานอาหารที่ดี มีคุณภาพ มีความหลากหลายของเมนู และมีบริการที่ดี หารด้วยราคา เพราะฉะนั้นสิ่งที่ชาบูชินำเสนอ คือ การส่งมอบประสบการณ์ความคุ้มค่า มากกว่าแข่งราคา” คุณศสัย อธิบาย
คุณแซม ขยายความเพิ่มเติมว่า “การแข่งขันราคาเป็นเกมการตลาดที่ทำชั่วครั้งชั่วคราวได้ แต่ถ้าใช้กลยุทธ์ราคาในระยะยาว ไม่ยั่งยืนแน่ และอยู่ที่ Brand Positioning ด้วย สำหรับชาบูชิ มี Brand Positioning ชัดเจน คือ การทำการตลาดเชิงสร้างสรรค์ มีคุณค่า และยึดถือผู้บริโภคเป็นหลัก”
ทั้งหมดนี้คือเป็นอีกหนึ่ง Milestone สำคัญของ Shabushi ที่กำลังสร้างนิยามใหม่ของการรับประทานบุฟเฟต์ชาบูและซูชิให้เป็นมากกว่าร้านอาหารที่เน้นอิ่ม แต่คือ “Social Bonding Platform” ที่สร้างเข้ารู้สึกร่วมและเข้าไปอยู่ในทุกโมเมนต์ของลูกค้า