จับตา ‘สเนลไวท์’ กับการชู ‘คุณภาพ+ความต่าง’ กลยุทธ์ที่ปั้นรายได้จากร้อยล้านสู่พันล้านใน 4 ปี มาเป็นกุญแจไขประตูสู่ Inter Brand

  • 479
  •  
  •  
  •  
  •  

จากแบรนด์ที่มีรายได้ในหลักร้อยล้านบาทเพิ่มเป็นหลักพันล้านบาทในเวลา 4 ปี วันนี้ ‘สเนลไวท์’ เตรียมสร้างความท้าทายใหม่ในปี 2561 กับการยกระดับสู่ Inter Brand เพื่อขยายฐานตลาดต่างประเทศให้มากขึ้น ควบคู่กับการเพิ่มยอดขายในประเทศ เพื่อปูทางไปยังเป้าหมายใหญ่ นั่นคือ Top 3 ผู้นำธุรกิจผลิตภัณฑ์ความงามในเอเชียที่ต้องมีรายได้แตะระดับแสนล้านบาท

สเนลไวท์ เริ่มเข้าสู่ตลาดเมื่อประมาณเดือน มี.ค. 2556 ภายใต้คอนเซ็ปต์ Beauty is Healthy นำเสนอโปรดักท์ที่เน้นคุณภาพ และให้ความสวยที่มาพร้อมกับผิวสุขภาพดี และสร้างจุดต่างเพื่อแจ้งเกิด ด้วยการใช้เมือกหอยทาก มาเป็นส่วนประกอบหลักในตัวโปรดักท์ ซึ่งช่วงนั้นไม่มีแบรนด์ใดจับมาเป็นจุดขาย

K.Saowakon, Deputy CEO_3

“โปรดักท์ทุกตัวที่จะออกมา คนในบริษัทต้องลองใช้ก่อน ถ้าไม่ดีก็ไม่ออก แต่ถ้าลองแล้วเวิร์คก็เทสต์กับกลุ่มลูกค้า ส่ง Lab test ต่อไป เมื่อสินค้าออกมา คนชอบก็เกิดปากต่อปาก บวกกับการสร้างแบรนด์ที่ทำผ่านทุกช่องทาง ทำให้ลูกค้าเกิดการซื้อซ้ำ จนเราประสบความสำเร็จเห็นได้จากยอดขายที่เติบโต” เสาวคนธ์ พรพัฒนารักษ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดู เดย์ ครีม จำกัด(มหาชน) ย้อนจุด กล่าวว่า

ในปี 2557 ด้วยรายได้ 438 ล้านบาท เพิ่มเป็น 955 ล้านบาท ในปี 2558 และ 1,202 ล้านบาท ในปี 2559 ส่วน 9 เดือนของปี 2560 ทำไปได้ที่ 1,256 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงฝีมือที่ไม่ธรรมดาของ บริษัท ดู เดย์ ครีม จำกัด(มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดูแลและบำรุงผิว ‘สเนลไวท์’ ซึ่งเตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วงปลายเดือนธ.ค.นี้ พร้อมกับประกาศเป้าหมายทางธุรกิจการเป็น 1 ใน 3 ผู้นำธุรกิจผลิตภัณฑ์ความงามในเอเชีย

ปิยวัชร ราชพลสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบัญชีและการเงิน บริษัท ดู เดย์ ครีม จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า การบรรลุเป้าหมายดังกล่าว บริษัทต้องมีรายได้อยู่ในหลักแสนล้านบาทต่อปี จึงวางเป็นแผนระยะยาวใน 20 ปี ซึ่งก่อนจะไปถึงเป้าหมายนั้นต้องมีแผนธุรกิจหลายเฟส

ปัจจุบัน สเนลไวท์เป็นแบรนด์ที่จะย่างเข้าปีที่ 5 ถือว่า ยังอยู่ในเฟสแรก กำลังก้าวสู่เฟส 2 คือ การยกระดับสู่ Inter Brand เพื่อจะทำตลาดต่างประเทศให้มากขึ้น โดยเฟสนี้จะเกิดขึ้นในปี 2561 หรือหลังนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยช่วงปลายเดือนธ.ค.นี้

“เรายังเป็นเด็ก เพียงแต่กระโดดเร็ว และตอนนี้แบรนด์เราอยู่ Top 10 ของตลาดธุรกิจผลิตภัณฑ์ความงามไทย ซึ่งเป็นผลงานที่ดี และจะดีขึ้นต่อจากนี้”

 K.Piyawat, CFO_2

ยึดคอนเซ็ปต์ ‘Beauty is Healthy’ตีตลาด Inter

ขณะที่ เสาวคนธ์กล่าวว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้มีแรงซัพพอร์ตในหลายเรื่อง โดยเฉพาะเงินทุน และสร้างความเชื่อมั่น เป็นการเสริมให้เฟสแรกแข็งแรงก่อนจะเข้าสู่เฟสที่ 2 ได้อย่างมั่งคง

สำหรับการก้าวสู่ Inter Brand ของสเนลไวท์ ยังคงคอนเซ็ปต์เดิม นั่นคือ  Beauty is Healthy ที่ถูกวางไว้ตั้งแต่เริ่มต้นแบรนด์ และประสบความสำเร็จเห็นได้จากการเติบโตของยอดขาย โดยคอนเซ็ปต์ดังกล่าวจะถูกถ่ายทอดผ่านการพัฒนาโปรดักท์ที่เน้นคุณภาพ และให้ความสวยที่มาพร้อมกับผิวสุขภาพดี รวมถึงสื่อสารผ่านช่องทางสื่อสารต่าง ๆ

ปัจจุบันสเนลไวท์ส่งออกไปใน 4 ประเทศ ได้แก่ จีน,กัมพูชา,เมียนมาร์ และลาว โดยตลาดที่ต้องการขยายเพิ่มเติม ก็คือ ประเทศในอาเซียน อาทิ เวียดนาม,อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคมีความใกล้เคียงกับไทย และตลาดสกินแคร์ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก

ส่วนตลาดหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ใหญ่และเติบโตดี นั่นคือ จีน ซึ่งสเนลไวท์ก็ถือเป็นแบรนด์ที่คนจีน Fever สามารถสร้างยอดขายปี 2559 ที่ 130 ล้านบาท ส่วน 9 เดือนของปีนี้ ทำรายได้ไป 400 ล้านบาท จีน จึงเป็นตลาดที่สำคัญและมีแผนขยายจะขยายการเติบโตในหลายรูปแบบ

“เบื้องต้นอยากโฟกัสในประเทศที่เราแข็งแรงอยู่แล้ว เพราะยังมีช่องว่างการเติบโตอีกมาก ก่อนจะขยายไปเปิดตลาดในประเทศใหม่ ๆ ซึ่งจะเห็นภายในไม่เกิน 3 ปีต่อจากนี้”

Snailwhite on shelf (5)

หวังสร้าง ‘เมือกหอยทาก’ เป็นเทรนด์ที่ไม่ตาย

ขณะที่จุดแจ้งเกิดของสเนลไวท์กับการสร้างจุดต่าง หรือ differentiate ในเรื่องมีเมือกหอยทากเป็นส่วนประกอบสำคัญ แต่ปัจจุบันสกินแคร์หลายผลิตภัณฑ์จากหลากหลายแบรนด์ก็มีส่วนผสมนี้เป็นตัวชูโรงเช่นกัน และที่น่าสนใจไปมากกว่านั้น คือ กระแสฮิตเมือกหอยทาก จะอยู่อีกนานหรือไม่  เมื่อถึงจุดนั้นสเนลไวท์จะเป็นอย่างไร

เสาวคนธ์ บอกว่า ไม่ได้กังวลเรื่องนี้ และการที่มีหลายแบรนด์นำเมือกหอยทากมาเป็นจุดขาย ยิ่งเป็นการช่วยบูมตลาดให้โต และคิดว่า ที่ผ่านมาเราทำได้ดี ดูได้จากยอดขาย และจะทำต่อไป แต่ถ้ามีโอกาสทำอย่างอื่นก็จะทำ ส่วนเทรนด์นี้จะอยู่ได้นานแค่ไหน ขึ้นอยู่กับเรา ซึ่งเราทำจริง

อย่างไรก็ตาม พยายามให้เมือกหอยทากเป็นเทรนด์ที่ไม่ตาย โดยเพิ่มคุณค่าจากส่วนผสมอื่น ๆ เข้ามาในโปรดักท์ เช่น ครีมกันแดดของสเนลไวท์ จะมีส่วนผสมจากดอกเอเดลไวส์ ที่ให้การปกป้องและฟื้นฟูในระดับ DNA ของผิว จากการโดนแสงแดดทำร้าย ฯลฯ

สำหรับการสร้างแบรนด์ จะต้องตอบโจทย์ในเรื่องเพิ่มยอดขาย ควบคู่กับการสร้างให้สเนลไวท์ เป็น Brand love ในใจผู้บริโภคทั้งไทยและต่างประเทศ ตอกย้ำให้รู้ว่า เราคืออะไร มี Benefit อย่างไร ซึ่งทั้งหมดจะถูกสื่อสารผ่านช่องทางทั้งออฟไลน์และออนไลน์

aum

ส่วนการที่สเนลไวท์คว้าตัวท็อปของวงการบันเทิงมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นอั้ม พัชราภา,ชมพู่ อารยา,ใหม่-ดาวิกา ฯลฯ เสาวคนธ์ บอกว่า ดัง ไม่ดัง ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นอยู่ที่จะทำอย่างไรให้เขาเป็นสาวสเนลไวท์ให้ได้

“อย่าลืมว่า คนดังที่เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้เรา ก็เป็นให้อีกหลายแบรนด์ ขึ้นอยู่กับว่า จะทำอย่างไรให้เขาเป็นสาวสเนลไวท์ให้ได้ และผิวต้องดี เพราะเวลาถ่ายโฆษณาเราจะแต่งหน้าน้อยมากเพื่อโชว์ผิว ที่สำคัญจะส่งสินค้าไปให้ใช้ เพื่อให้ถ่ายทอดได้ดี ดูเรียลและจริงใจที่สุด”

ชู ‘Sizing’ และ ‘Pricing’ ขยายฐานลูกค้า

ทั้งนี้ การสร้างให้ Brand love ในใจผู้บริโภค ไม่ได้หวังผลเฉพาะกับลูกค้าเดิมเท่านั้น ยังต้องการพิชิตใจลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ เพื่อขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น เพิ่มเติมจากลูกค้าเดิมที่กลุ่มหลักจะเป็น First Jobber ซึ่งเรื่องนี้ ‘Sizing’ และ ‘Pricing’ จะเป็นกลยุทธ์ที่เข้ามามีส่วนสำคัญ

โดยเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ได้เริ่มนำ 3 กลุ่มสินค้า ได้แก่ กันแดด,เดย์ ครีม และคลีนซิ่ง มาออกเป็นสินค้าแบบซองขนาด 7 ml.วางขายผ่านช่องทางร้านสะดวกซื้อในราคา 39 บาท

เสาวคนธ์ บอกว่า เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับเราและได้รับผลตอบรับดีมาก ทำให้เรียนรู้ว่า หลายคนอยากใช้สินค้าเรา หากมีราคาที่เขาสามารถเอื้อมถึง ดังนั้น การออกสินค้าต่อจากนี้จะมีความหลากหลายมากขึ้นทั้งราคาและขนาด เช่น ช่องทางร้านสะดวกซื้อ อนาคตจะมีการเพิ่มไลน์โปรดักท์ รวมถึงจะนำสินค้าแบบซองไปขยายในช่องทางร้านค้าแบบดั้งเดิมที่ถือเป็นช่องทางขายที่มีมากที่สุดในไทย คือ มีกว่า 400,000 แห่งทั่วประเทศ

“เรายังเป็น Premium Mass ดูได้จากราคาขายที่สูงกว่าแบรนด์อื่นในร้านสะดวกซื้อที่ส่วนใหญ่จะต่ำกว่า 20 บาท และไม่ได้กังวลจะกระทบต่อโพซิชั่นแบรนด์ เพราะตอนนี้ไม่ว่าเป็นอินเตอร์แบรนด์หรือแบรนด์ใดก็ตามก็ขายในร้านสะดวกซื้อ”

ตั้งเป้ารักษาระดับเติบโต 20-25% ทุกปี

การรักษาการเติบโต เป็นอีกความท้าทายหนึ่งในการก้าวสู่เฟส 2 ของสเนลไวท์ โดยช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ปิยวัชร บอกว่า สเนลไวท์มีการเติบโตกว่า 65% ต่อปี ซึ่งการรักษาระดับดังกล่าวเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก อย่างไรก็ตาม เพื่อสร้างการเติบโตที่มั่นคง ตั้งเป้าจะรักษาระดับการเติบโตไว้ที่ 20-25%ทุกปี

“ที่ผ่านมาการโตขนาดนั้นเราทำได้ เพราะเป็นช่วงเริ่มต้นธุรกิจ และการโตเร็วสิ่งที่ตามมา คือ ต้องปรับตัวให้ทัน เพราะการบริหารองค์กรรายได้ร้อยล้านกับพันล้านมันต่างกัน เราต้องไดนามิกตลอด และเรื่องนี้เป็นหนึ่งใน Core value ของเรา ที่อื่นอาจปรับโครงสร้างปีละครั้ง แต่ถ้าเพื่อซัพพอร์ตให้ยอดขายโต ปรับโครงสร้างปีละ 2 ครั้ง เราก็ทำ”

Snailwhite

สำหรับการก้าวสู่ Inter Brand สองผู้บริหารจากบริษัท ดู เดย์ ครีม จำกัด(มหาชน) มองว่า ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะปัจจุบันสเนลไวท์ได้รับการยอมรับทั้งในและต่างประเทศ ส่วนการขึ้นTop 3 ผู้นำธุรกิจผลิตภัณฑ์ความงามในเอเชีย เป็นวิชั่นที่วางไว้เพื่อสร้างความท้าทายให้กับคนในองค์กรให้ก้าวไปให้ถึง ซึ่งเป็นแผนระยะยาว

 

Copyright© MarketingOops.com


  • 479
  •  
  •  
  •  
  •