สงครามมากับทรัมป์ อุณหภูมิการค้าโลกปะทุ สินค้าจีน 6 หมื่นล้านดอลลาร์จ่อถูกกั้น ไทยเจอหางเลขสินค้าห่วงโซ่จีนถูกกระทบ

  • 874
  •  
  •  
  •  
  •  

usa-cha

ภาวะเดือดของสงครามการค้าได้ถูกส่งสัญญาณจากสหรัฐอเมริกามาตั้งแต่ปีที่แล้ว และเริ่มจะเห็นผลชัดเจนมากขึ้นตั้งแต่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ในปีนี้เป็นต้นไป ด้วยมาตรการปกป้องอุตสาหกรรมภายในและการนำเข้าเพิ่ม จากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยมีคำสั่งให้แก้ไขความเสียเปรียบทางการค้า อาศัยอำนาจประธานาธิบดีในการลด,จำกัดการนำเข้าสินค้าที่มีการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น จนอาจก่อให้เกิดภัยคุกคามกระทบต่อความมั่นคงภายในของสหรัฐ (Nation Security) มาใช้ปกป้องการค้าและการตลาดของสหรัฐ

สินค้าที่สหรัฐมีการปกป้องอาทิ ตลาดเหล็ก อลูมิเนียม สินค้าอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าทางการเกษตร ทำให้เกิดปฏิกิริยาตอบโต้จากคู่ค้าทุกประเทศ ซึ่งปฏิกิริยาดังกล่าวสหรัฐจึงออกมาตรการค่อนข้างยืดหยุ่น ให้กับแคนาดารวมทั้งประเทศในอียู ซึ่งเป็นประเทศที่สหรัฐนำเข้าสินค้ามากถึง 50%

k-bank-01

อย่างไรก็ตามล่าสุดมาตรการดังกล่าวได้พุ่งเป้าไปที่สินค้านำเข้าจากจีนที่มีมูลค่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยประเทศไทยนอกจากยังมีความเสี่ยง จากการติดอยู่ในลิสต์ประเทศคู่ค้าของสหรัฐที่บิดเบือนค่าเงิน (Currency Manipulation) สินค้าส่งออกของไทยยังมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบเฉพาะหน้า เช่น อุปกรณ์ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า และชิ้นส่วนโทรศัพท์มือถือ เนื่องจากเป็นสินค้าที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตของจีนที่ถูกกีดกัน

จับตาสินค้าจีน 60,000 ล.เดือด

นับเป็นครั้งแรกที่บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด จัดการแถลงข่าวประเมินทิศทางเศรษฐกิจในปี 2561 โดยชี้ว่ามีความเป็นไปได้ที่สหรัฐจะออกมาตรการกีดกันสินค้าจากไทยโดยเฉพาะเจาะจง ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องติดตามต่อไปอย่างใกล้ชิดโดยสินค้าในห่วงโซ่การผลิตของจีน มีทั้งเครื่องซักผ้า แผงโซลาร์เซลส์ เหล็กและอลูมิเนียม ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรจึงประมาณการส่งออกของไทยในปีนี้ไว้ที่  4.5%

“ในสินค้าก้อน 6 หมื่นล้านดอลลาร์นี้ คาดว่าจะเริ่มถูกใช้มาตรการในช่วงกลางเดือนพ.ค. 2561 เป็นต้นไป ส่วนในเรื่องที่เราอยู่ในห่วงโซ่ของจีน จะเริ่มมีผลกระทบในช่วงครึ่งหลังปี 2561 ขณะเดียวกันตอนนี้ไทยเรายังอยู่ในข่ายโดนกีดกันจากเงื่อนไข Currency Manipulation 2 ข้อไปแล้วนั่นคือ 1 เกินดุลการค้า และ 2 เกินดุลบัญชีเดินสะพัด กับสหรัฐ ส่วนเงื่อนไขที่ 3 ธนาคารกลางแทรกแซงตลาดซึ่งไทยเรายังไม่เข้าเงื่อนไข แต่แค่ 2 ข้อแรกก็ทำให้เราอยู่ในข่ายโดนจับตาและจะโดน Currency Manipulation ซึ่งต่อไปอาจจะทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น” ดร.ศิวัสน์ เหลืองสมบูรณ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรฯ กล่าว

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าแม้สหรัฐ จะประกาศใช้มาตรการกีดกันทางการค้าที่หลากหลายส่งผลกระทบต่อคู่ค้าและประเภทสินค้าต่างๆ กันออกไปแต่ด้วยขั้นตอนการปฏิบัติที่ค่อนข้างยืดหยุ่น จึงน่าจะส่งผลกระทบโดยรวมอยู่ในขอบเขตที่จำกัด และนำไปสู่การเจรจาเงื่อนไขทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และคู่ค้ารายประเทศ โดยไม่ลุกลามบานปลายจนกลายเป็นสงครามการค้า

การส่งออกของไทยจะเจออะไร

ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม อาจมีการเร่งส่งออกของไทยไปจีน ก่อนที่มาตรการกีดกันของสหรัฐจะเริ่มบังคับใช้กับสินค้าจีนในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ซึ่งคาดว่าจะมีการส่งออกเพิ่มขึ้น 4.5% แต่จะต้องประเมินว่าภาคการผลิตของไทยจะมีความแข็งแกร่งแค่ไหน อย่างไรก็ตามคาดว่าต้นเดือนเมษายนนี้ จะรู้ว่าประเภทสินค้าใดของจีนบ้างที่ถูกกีดกัน และเมื่อจีนส่งสินค้าไปสหรัฐลำบาก สินค้าจะถูกผ่องถ่ายเข้าไปยัง CLMV ซึ่งเป็นตลาดหลักของไทย ทำให้ผู้ประกอบการไทยจะต้องเจอกับสินค้าจีนไหลเข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน

k-bank-02

สำหรับสินค้าส่งออกที่มีผลบังคับใช้แล้ว เช่น เหล็ก และอลูมิเนียม เครื่องซักผ้า แผงโซลาร์เซลส์ ผลทางตรงที่ผู้ส่งออกไทยจะได้รับคือ ส่งไปสหรัฐได้แต่ถูกจำกัดลง ส่วนผลทางอ้อมก็คือ จะแข่งขันในตลาดโลกยากขึ้นจากราคาที่ลดลง

ส่วนสินค้าส่งออกที่รอรายละเอียดจากมาตรการของสหรัฐ เช่น Hard Disk Drive แผงวงจรไฟฟ้ารวม เครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วนฯ ขณะที่เครื่องทำน้ำอุ่น ทีวีและลำโพง ไทยจะยังไม่ได้รับผลทางตรง แต่ผลกระทบทางอ้อมที่จะได้รับคือ ไทยจะส่งออกไปยังจีนลดลงรวมทั้งตลาด CLMV ที่ถูกสินค้าจากจีนแย่งตลาด เช่น สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า

CLMV เป็นตลาดใหญ่สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าของไทย เมื่อจีนถูกจำกัดจากมาตรการสหรัฐ จะหันมาจับตลาดนี้และจะเกิดผลกระทบแน่นอนต่อสินค้าไทย

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจะยังคงประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2561 ที่ 4.0% โดยมองว่าแรงหนุนยังมาจากการส่งออก ท่องเที่ยว และการลงทุน ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงทางด้านการค้าของโลก ภาพการส่งออกยังคงขยายตัวได้เป็นบวกจากเศรษฐกิจโลกที่เติบโตต่อเนื่อง

ขณะที่ประเมินแรงหนุนของเศรษฐกิจไทย ยังมาจากการท่องเที่ยวและการลงทุนทั้งรัฐและเอกชน แม้ว่าการบังคับใช้ พ.ร.บ. จัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐจะส่งผลให้การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐล่าช้าไปบ้าง แต่คาดว่าการเร่งเบิกจ่ายในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ น่าจะทำให้การลงทุนภาครัฐยังเป็นแรงหนุนที่สำคัญ ในขณะที่การลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะได้อานิสงส์จากการลงทุนภาครัฐ

 

Copyright © MarketingOops.com


  • 874
  •  
  •  
  •  
  •