วิกฤตการแพร่ระบาดไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) ยังคงลุกลามไปทั่วโลกกว่า 25 ประเทศ ขณะที่รายงานในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ สรุปตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่า มากกว่า 76,000 ราย และเสียชีวิตไปแล้ว กว่า 2,000 ราย ซึ่ง 3 ประเทศท็อปๆ ที่ถือว่ายังมีความเสี่ยงมากที่สุด นอกเหนือจาก ‘จีน’ ประเทศต้นทางที่แพร่กระจายเชื้อไวรัสตัวนี้ ก็คือ เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น, และ สิงคโปร์
แต่ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา เราจะเห็นว่ามีสื่อรายงานข่าวมากขึ้นเกี่ยวกับความล้มเหลวของรัฐบาลญี่ปุ่นในการรับมือกับวิกฤตไวรัสนี้ เพราะสถานการณ์ในปัจจุบัน กำลังสร้างความหวาดกลัวและความวุ่นวายมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อในญี่ปุ่นก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ณ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ มีจำนวนเกือบ 100 รายแล้ว
ทั้งนี้ มีเหตุการณ์มากมายที่สะท้อนให้เห็นว่า ‘ญี่ปุ่น’ กำลังวิกฤตมากขึ้น และยังไม่สามารถรับมือกับปัญหาได้ดีนัก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเกิดขึ้นในหลายๆ ประเทศทั่วเอเชียมาแล้ว รวมถึงไทยด้วย
แม้แต่ ‘ญี่ปุ่น’ ก็เผชิญวิกฤตราคาหน้ากากพุ่ง 10 เท่า
ตามมาด้วยปัญหาของเรื่อง ‘ราคาหน้ากาก’ ที่พุ่งขึ้นจนผิดปกติถึง 10 เท่าตัว จากเดิมที่จำหน่ายหน้ากาก 1 กล่อง (7 ชิ้น) ราคา 400 เยน (114 บาท) แต่ขณะนี้ราคาจำหน่ายไม่ว่าจะเป็นในร้านขายยา, ในเว็บช้อปปิ้งของญี่ปุ่น หรือร้านค้าทั่วไป ราคาพุ่งขึ้นถึง 4,000 เยน (1,130 บาท) ตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
แม้แต่ในเว็บช้อปปิ้งของต่างชาติ อย่าง Amazon.com ซึ่งเป็นหนึ่งในเว็บไซต์อีคอมเมิร์ชที่ได้รับความนิยมมากในญี่ปุ่น ก็ขึ้นประกาศว่า ‘sold out’ สำหรับหน้ากากในราคาขายปกติตั้งแต่ปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา
Corona เป็นเหตุให้เกิดการขโมยหน้ากากครั้งแรกในญี่ปุ่น
สถานการณ์ความวุ่นวายต่างๆ ไม่ได้เกิดขึ้นแค่หน้ากากหมดสต็อก! แต่มันลุกลามจนเป็นเหตุให้เกิดการขโมยหน้ากากจากโรงพยาบาลหลายแห่ง ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ซึ่งน่าเป็นการขโมยของที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกๆ ก็ว่าได้สำหรับญี่ปุ่น ในฐานะที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นประเทศที่เป็นมิตร (ซื่อสัตย์) ต่อนักท่องเที่ยวที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตามรายงานของ Japan Today
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลตามพื้นที่ชนบทหลายแห่งยืนยันว่า หน้ากากของโรงพยาบาลถูกขโมยเกือบทุกวัน อย่างเช่น โรงพยาบาลกาชาดญี่ปุ่นในเมืองโกเบ เมืองท่าทางตะวันตกในจังหวัดเฮียวโงะ เริ่มถูกขโมยไปตั้งแต่จำนวน 500 ชิ้น ไปจนถึง 6,000 ชิ้น โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานว่า กระบวนการขโมยหน้ากากครั้งนี้น่าจะเพื่อนำไปจำหน่ายต่อ มากกว่าการเอาไปใช้เองส่วนตัว
ขณะที่เจ้าหน้าที่กังวลว่า อาจเกิดกระแสลอกเลียนแบบขึ้นจากความหวาดกลัวของคนญี่ปุ่นที่รุนแรงขึ้น โดยเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ในฮ่องกงเริ่มมีรายงานข่าวแปลกๆ ว่ามีผู้ก่อเหตุขโมยทิชชู่หลายร้อยม้วน รวมไปถึงเจลล้างมือ อันเนื่องมาจากสินค้าขาดตลาดและมีราคาแพงผิดปกติ
กระแสต่อต้าน ‘คนไม่สวมใส่หน้ากาก’ รุนแรงขึ้นในญี่ปุ่น
ความวุ่นวายล่าสุดที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่น ก็คือ กลุ่มคนที่สวมใส่หน้ากากอนามัย เริ่มแสดงปฏิกิริยาต่อต้านผู้ที่ไม่ใส่หน้ากากอย่างชัดเจน อย่างเหตุการณ์บนรถไฟในฟุกุโอกะ ที่มีคนกดปุ่มหยุดฉุกเฉินบนรถไฟทันที เพียงเพราะมีคนไอโดยไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย ซึ่งหลังจากเหตุการณ์นั้นก็เริ่มมีคนต่อต้านไม่ให้กลุ่มคนที่ไม่ใส่หน้ากากใช้บริการรถไฟสาธารณะ ในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน จนเป็นกระแส viral บนโลกโซเชียลที่คนถกเถียงกันถึงความเหมาะสมดังกล่าว
โดยกลุ่มคนบางส่วนที่ไม่ได้สวมใส่หน้ากากนั้นกล่าวกับ soranews24 ว่าหน้ากากมีราคาแพงเกินไป และร้านขายบางแห่งก็ไม่มีสินค้า ขณะที่รัฐบาลเองก็ไม่ได้ support ในด้านหน้ากากเท่าที่ควรในเวลานี้
สถานการณ์ในญี่ปุ่นดูแววว่าจะไม่สู้ดีนัก ยิ่งในปีนี้ความฝันของรัฐบาลที่หวังจะฟื้นเศรษฐกิจจากการเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกและพาราลิมปิกในกรุงโตเกียวช่วงฤดูร้อน (เดือนกรกฏาคม) แต่หากวิกฤตนี้ลากยาวไปถึงเวลานั้น เป้าหมายที่จะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวให้มากขึ้นก็น่าจะดับวูบไป เพราะเอาจริงๆ แล้วเวลานี้เศรษฐกิจญี่ปุ่นกับสภาวะการเติบโตของกลุ่มสูงอายุนั้นดูจะไม่สามัคคีกันนัก นั้นก็น่าจะทำให้ญี่ปุ่นค่อนข้างลำบากเลยทีเดียว
ที่มา : japantimes, japantimes, soranews24, straitstimes
