ทุกวันนี้ก้าวสู่ยุคใหม่ของการตลาด ที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ความรวดเร็ว และการเข้ามาของเทคโนโลยี AI ทำให้แบรนด์ นักการตลาด นักโฆษณา ต้องปรับตัวให้เร็ว หนึ่งในหัวข้อไฮไลต์ “Global Digital Marketing Trends 2026 – 2030: Preparing for the Next Decade”
โดยคุณภารุจ ดาวราย จาก DAAT และ Lateral, คุณชัยวุฒิ เอี่ยมวุฒิกร จาก PHD และคุณอนันท์ ตีระบูรณะพงษ์ จาก Data First พร้อมด้วยคุณโศรดา ศรประสิทธิ์ จาก Publicis Groupe Thailand เป็นผู้ดำเนินรายการ ได้พาไปฉายภาพเทรนด์การตลาดโลก 2026-2030 และการเตรียมความพร้อมรับมือในวันนี้ และอนาคต
Global Trends
1. ความเท่าเทียมกันในเชิง “ความสามารถ” (Capability) ในยุค AI
การเข้ามาของ AI ทำให้คนมีความสามารถพื้นฐานเท่าเทียมกันมากขึ้น แต่ความสามารถนี้ ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะ “มีความรู้เท่ากัน” และ “Connect to dot” ได้เท่ากัน ซึ่งยังคงเป็น “ช่องว่าง” ของมนุษย์ ดังนั้นวันนี้เป็นโอกาสของคนที่มีความรู้เชิงลึก หรือคนที่เป็นพหูสูตร
ขณะเดียวกันการพึ่งพา AI มากเกินไป อาจทำให้มนุษย์ขาดอิสระ และการมีความสามารถเท่าเทียมกัน อาจส่งผลให้ “คุณค่าและราคา” ของความสามารถเหล่านั้นลดลงตามไปด้วย
2. AI ทำให้การทำงานเป็นแบบ “Hyper–Scale” แต่แบรนด์–นักการตลาดจะเจอความคาดหวังที่มากขึ้น
AI ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็น Hyper Scale เช่น จากเดิมทำได้ 10 ชิ้นภายในระยะเวลาหนึ่ง แต่เมื่อนำ AI มาใช้ กลายเป็น 50 – 100 ชิ้นงานภายในเวลาเท่าเดิม
อย่างไรก็ตามความสามารถด้าน Hyper-Scale ที่เพิ่มขึ้น ย่อมมาพร้อมกับ “ความคาดหวัง” ที่สูงขึ้นเช่นกัน ดังนั้น นักการตลาด/แบรนด์ ควรพิจารณา “In-scope” หรือการกลับมาคิดว่าสิ่งที่ทำได้นั้นอยู่ในขอบเขตที่เราควรทำหรือไม่ หากทำแล้ว ทำได้ดีหรือไม่
3. AI เป็น “ตัวกลาง” ระหว่างแบรนด์ กับผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย
ทุกวันนี้ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า AI อยู่กับเราตลอดเวลา และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับผู้คน ทั้งในมุมของนักการตลาด/แบรนด์ที่ทำให้สามารถ “เสก” งานได้รวดเร็วขึ้น และในฝั่งผู้บริโภค แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ มี “AI คัดเลือกคอนเทนต์” ให้กับผู้บริโภค
เพราะฉะนั้น ณ วันนี้ AI เข้ามาเป็น “ตัวกลาง” ระหว่างนักการตลาด/แบรนด์ ทำคอนเทนต์ เพื่อให้ AI ส่งคอนเทนต์นั้นๆ ไปถึงผู้บริโภค ขณะเดียวกันผู้บริโภคก็มี AI คัดกรองคอนเทนต์ที่เหมาะกับเขา
4. Creator as a Platform
ปัจจุบันประเทศไทยมี Creator/Influencer ประมาณ 10 ล้านคน และคาดการณ์ว่า Creator Economy จะขยายตัวมากขึ้น ซึ่งเครื่องมือ AI และเทคโนโลยีต่างๆ ไม่ใช่แค่เอเจนซี่เข้าถึงได้เท่านั้น แต่ทุกคนเข้าถึงได้ เพราะฉะนั้นเมื่อ Creator/Influencer นำเครื่องมือหรือเทคโนโลยีมาใช้ จะทำให้ Creator ไม่ใช่แค่สร้างสรรค์คอนเทนต์เท่านั้น แต่จะก้าวสู่การเป็น “Creator as a Platform” วางตัวเองเป็นแพลตฟอร์มในการทำงาน

แบรนด์–นักการตลาด–นักโฆษณา ปรับกลยุทธ์สู่ “Unified Strategy” และ “Data + Psychology”
5. กลยุทธ์ของแบรนด์ในยุค AI ต้องปรับเปลี่ยนและเชื่อมโยงกันมากขึ้น ด้วย “Unified Strategy” ดังนี้
– เริ่มที่ตัวเราด้วย First-party Data: แบรนด์ต้องให้ความสำคัญกับเก็บ First-party Data อย่างจริงจัง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีคุณภาพ เพราะข้อมูลคุณภาพเป็นจุดตั้งต้นของทุกสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อการทำแคมเปญของแบรนด์
– สร้างความเกี่ยวข้องที่น่าสนใจกับส่วนรวม (Media Attention): เมื่อมี Data คุณภาพแล้ว แบรนด์ต้องสร้างความน่าสนใจให้กับคนหมู่มาก ผ่าน Media channel ที่หลากหลาย และมีประสิทธิภาพในการเข้าถึง เพื่อทำให้ผู้บริโภคเห็นและสนใจในแบรนด์
– นำเสนอแบบ Personalization: หลังจากสร้างความสนใจกับส่วนรวมแล้ว ให้ต่อด้วยการทำ Personalization นำเสนอให้เหมาะแบบ 1 on 1 อย่างไรก็ตามการทำ Personalization ต้องดูความเหมาะสมด้วยเช่นกัน เพราะบางครั้งเมื่อเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายแบบส่วนตัวมากเกินไป อาจสร้างความรู้สึกกังวลให้กับผู้บริโภค
– เชื่อมต่อประสบการณ์ (Connected Consumer Experience): ผ่าน Customer Journey ของผู้บริโภคแต่ละเซ็กเมนต์
– กลยุทธ์ต้องทำให้แบรนด์เติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainable Growth)
6. Data + Psychology ทำให้ผู้บริโภครู้สึก “คุ้มค่า” ที่ได้เห็นโฆษณา/สินค้านั้นๆ
แบรนด์/นักการตลาด นักโฆษณา ควรสร้าง Consumer Surplus ด้วยการเอา Data + Psychology มาทำให้ผู้บรโภครู้สึก “คุ้มค่า” ที่ได้เห็นโฆษณาชิ้นนั้น หรือสินค้านั้นๆ เช่น ผู้บริโภคยินดีให้ Data กับแพลตฟอร์มคอนเทนต์ เพราะรู้สึกว่าคุ้มค่าที่ไม่ต้องจ่ายเงิน เพราะฉะนั้นทำให้ผู้บริโภครู้สึก “คุ้มค่า” กับการให้ Data กับแบรนด์
7. Creative x AI = ศักยภาพไร้ขีดจำกัด
ผสานระหว่าง Creative และ AI เพื่อเพิ่มศักยภาพไร้ขีดจำกัด โดยบทบาทหน้าที่ของนักการตลาด หรือครีเอทีฟ เมื่อมีไอเดียแล้ว ให้เปลี่ยนโจทย์ทางการตลาดให้กระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกของผู้บริโภค พร้อมทั้งใช้เทคโนโลยีต่างๆ มาเป็นตัวช่วย รวมทั้งทดลองและเรียนรู้ว่าสิ่งนั้นเวิร์ค หรือไม่เวิร์ค

ความท้าทายใหญ่
8. เครื่องมือและเทคโนโลยีต่างๆ อาจนำไปสู่วิวัฒนาการของ “ความขี้เกียจคิด” ของมนุษย์
เป็นธรรมชาติของมนุษย์เมื่อได้รับความสะดวกสบายจากการมีเครื่องมือ หรือเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาช่วย ส่งผลให้เกิดวิวัฒนาการที่น่ากลัว นั่นคือ ความขี้เกียจคิด เพราะมีเครื่องมือหรือเทคโนโลยีที่ช่วยคิดให้ และอาจ “ลดคุณค่า” ของหลายสิ่งหลายอย่าง
9. การบริหารจัดการความคิด, ข้อมูล และการวัดผล
– ทำอะไรก่อนดี ในขณะที่มีเวลาเท่าเดิม – ต้องจัดลำดับความสำคัญอะไรก่อน-อะไรหลัง (Prioritization)
– Quantity vs Quality / Generalist vs Expertise – เทคโนโลยีสามารถสร้างปริมาณได้ แต่ในเรื่อง Quality ยังคงเป็นสิ่งสำคัญ และด้วยเทคโนโลยี AI ทำให้มนุษย์สามารถเลือกได้ว่าจะเป็นบุคคลทั่วไปที่รู้ในเชิงกว้าง หรือเป็นผู้เชี่ยวชาญรู้ในเชิงลึก
10. Crisis of Trust
การมาของ AI ในอีกด้านหนึ่งทำให้เกิดวิกฤตความน่าเชื่อถือของคอนเทนต์ หรือข้อมูลข่าวสาร เพราะท่ามกลางการขยายตัวของ AI ก็ทำให้เกิด “คอนเทนต์ปลอม” มากมายเช่นกัน ดังนั้นแบรนด์-นักการตลาด-นักโฆษณาต้องเตรียมความพร้อมรับมือกับโลกที่เต็มไปด้วยคอนเทนต์ AI และมีความรอบคอบกว่าเดิม

โอกาสสำคัญของการตลาดยุคใหม่
11. AI Marketing Service
AI จะทำให้นักการตลาด นักโฆษณากลับมามีเวลาในการทำ “High-Value Task” มากขึ้น
12. AI ทำให้เกิดตำแหน่งใหม่ บทบาทใหม่ ทั้งในมิติ
– ทักษะเชิงกว้าง x ลึก
– สร้างประสิทธิภาพแบบใหม่
– เปิดใจ และยอมรับความเปลี่ยนแปลง เพื่อเดินหน้าไปกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงนั้น
13. Creative Intelligence Powered by Science
แบรนด์ หรือนักการตลาด นักโฆษณานำ “ความคิดสร้างสรรค์” มาทำให้ผู้บริโภคจดจำแบรนด์/สินค้าได้ สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกดีกับแบรนด์