ทุกวันนี้ผู้บริโภคมีความซับซ้อน และความต้องการสูงขึ้น (Highly Demand) ยิ่งท่ามกลางสถานการณ์ทางเศรษฐกิจไม่แน่นอน เทคโนโลยีใหม่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว และการช้อปที่ไม่มีเส้นแบ่งระหว่าง Offline – Online อีกแล้ว หากแต่วันนี้เป็น Omnichannel ที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็ช้อปได้ตลอดทุกเวลา ทุกที่ที่ต้องการ และต้องการประสบการณ์เฉพาะบุคคล (Personalized Experience) สิ่งเหล่านี้ได้ reshape พฤติกรรมการใช้จ่ายของนักช้อป ซึ่งนักการตลาด รีเทล และแบรนด์ต้องปรับตัวทำความเข้าใจความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
หนึ่งในไฮไลต์งานสัมมนา “FRESH FORWARD” จัดโดย CP AXTRA, Makro และ Lotus’s คือ หัวข้อ FRESH Insights: Connecting with the Shopper of 2025 โดย ดร. อาภาภัทร บุญรอด Managing Director, Client, Thailand and Head of Growth SEA, Kantar มาแชร์ข้อมูลอินไซต์นักช้อปไทย และเทรนด์ช้อปปิ้ง ปี 2025 พร้อมกลยุทธ์ชนะใจลูกค้าในยุคที่การสร้าง Experience สำคัญต่อแบรนด์อย่างมาก สรุปดังนี้

1. ภาพรวม “FMCG” เศรษฐกิจไม่แน่นอน ผู้บริโภคปรับพฤติกรรมช้อป “ซื้อสินค้าขนาดเล็กลง”
ภาพรวมตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค หรือ FMCG ในปี 2024 มีการเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งมาจากผู้บริโภคใช้จ่ายต่อครั้งสูงขึ้น ในขณะที่ความถี่ และจำนวนหมวดหมู่สินค้าที่ช้อป คงที่ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ผู้บริโภคต้องปรับพฤติกรรมบริหารจัดการเงิน และการใช้จ่าย เช่น จากที่เคยซื้อสินค้าไซส์ใหญ่ ปรับไปซื้อสินค้าไซส์เล็กลง แต่ยังได้สินค้าตามที่ตัวเองต้องการ
ขณะที่หมวดหมู่ FMCG ที่เติบโต ได้แก่
– ผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล, เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์สกินแคร์ เนื่องจากทุกวันนี้คนออกมาอยู่นอกบ้านมากขึ้น พบเจอผู้คน ส่งผลให้สินค้าหมวดหมู่นี้เติบโตขึ้น และคาดว่าปี 2025 ยังคงเติบโตต่อเนื่องเช่นกัน
– หมวดหมู่อาหาร Quick Meal ที่ตอบโจทย์ความสะดวกและรวดเร็วเติบโตขึ้น ตรงกันข้ามกับหมวดอาหาร In-home โตเล็กน้อย
– สินค้าสุขภาพยังคงเติบโต สอดล้องกับเทรนด์ Health & Wellness
– สินค้าเข้าถึงง่าย ได้รับความนิยม สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจในปัจจุบัน
2. นักช้อปไทยเป็นนักกายกรรมที่ต้องบาลานซ์หลายเรื่อง!
หากเปรียบนักช้อปไทย เป็นนักกายกรรมที่ยอดเยี่ยมในการบาลานซ์หลายๆ อย่างเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น
– Self: การบริหารจัดการทั้งชีวิตในบ้านและนอกบ้าน การใช้จ่าย การออม และการบริหารหนี้สินต่างๆ
– Social: นักช้อปไทยหาช่องทางการขาย, โปรโมชั่น หรือดีลที่ให้ราคาดีที่สุด เพราะในการซื้อสินค้า นักช้อปไทยไม่ได้ซื้อแค่ตัวเองเท่านั้น แต่ยังซื้อเพื่อคนอื่น และซื้อเพื่อออกสังคม
– Status: แม้เศรษฐกิจไม่ได้เติบโตดีมาก แต่คนไทยยังช้อปสินค้าพรีเมียม และสินค้า Luxury เพราะคนไทยให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ หรือการใช้สินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการ Emotional ของตัวเอง
– Success: ปัจจุบันคนไทยให้ความสำคัญกับ “Work & Life” มากขึ้น โดยเฉพาะ Generation ใหม่ ดังนั้นสิ่งที่นักช้อปไทยมองหาจากแบรนด์คือ ความสะดวก ความรวดเร็ว และความสบาย เพื่อช่วยให้บริหาร Work & Life ได้ดีขึ้น
3. นักช้อปไทยเป็น “Mindful Spender” แม้เศรษฐกิจฝืด แต่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใช้จ่าย เพื่อความสุขของตัวเอง
– 43% ของนักช้อปไทยตัดสินใจซื้อ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตัวเอง พฤติกรรมนี้พบมากใน Gen Z, Gen Y
– 33% ของนักช้อปคิดคำนวณ และดูหลายปัจจัยก่อนตัดสินใจซื้อ พบมากใน Gen X, Baby Bommer
– 10% ช้อปปิ้งเพื่อความสุขของตัวเอง
คนไทยไทยเป็นนักช้อป “Mindful Spender” คือ แม้อยู่ในภาวะเงินตึงมือ ก็ยังคงใช้จ่าย แต่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง เพื่อให้ยังสามารถช้อป เพื่อความสุขของตัวเอง
4. ปัจจัยการพิจารณาตัดสินใจซื้อสินค้า
นักช้อปไทยต้องการสินค้ามาตรฐานสูง ในราคาเหมาะสม และให้ความพึงพอใจสูงสุด โดย 5 ปัจจัยแรกในการพิจารณาตัดสินใจซื้อสินค้า คือ
– คุณภาพ
– ความคุ้มค่า
– ความคงทน
– ความสะดวก
– สินค้าที่เป็นของแท้
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญเช่นกันคือ
– ความสะดวกและรวดเร็วในการส่งสินค้า
– ยี่ห้อของสินค้า
– บริการหลังการขาย
– ความยั่งยืน
– อยู่ในเทรนด์
– สามารถผ่อนได้
เมื่อเจาะลึกเซ็กเมนต์ค้าปลีก “Hypermarket” พบว่านักช้อปไทยให้ความสำคัญกับปัจจัยดังนี้
– คุณภาพ
– ราคา
– โปรโมชั่น
– ความหลากหลายของหมวดหมู่สินค้า
– ความหลากหลายของแบรนด์
นอกจากนี้ยังมีองค์ประกอบอื่นที่นำมาพิจารณาตัดสินใจซื้ออีกด้วย
– 36% บอกว่าต้องการหาสินค้าได้ง่าย เพราะฉะนั้นความสะดวกและความรวดเร็วเป็นหนึ่งในปัจจัยที่นำมาพิจารณา
– 27% รองรับการจ่ายเงินได้สะดวกและรวดเร็ว
– 22% บรรยากาศการช้อป โดยเฉพาะนักช้อปกลุ่ม Younger Generation ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ younger generation
5. นักช้อปไทยเชื่อคำแนะนำจาก Influencers
เมื่อเทียบการตัดสินใจซื้อของคนไทย กับค่าเฉลี่ยทั่วโลก พบว่านักช้อปไทยให้ความสำคัญกับคำแนะนำของ “Influencers” สอคคล้องกับข้อมูลพบว่า 70% ของคนไทยติดตาม Influencers / Content Creators
– 59% ของคนไทยชอบที่จะได้ดูรีวิวหรือคำแนะนำการใช้ผลิตภัณฑ์จากคอนเทนต์ของ Influencers / Content Creators สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก ซึ่งอยู่ที่ 38%
– 53% ของนักช้อปไทยเชื่อ Influencers / Content Creators มากกว่าเพื่อน หรือครอบครัว สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก ซึ่งอยู่ที่ 29%
จะเห็นได้ว่า Influencers / Content Creators มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของนักช้อปไทย อย่างไรก็ตามแบรนด์ที่จะเลือก Influencers / Creators มาทำงานร่วมกัน ต้องเลือกคนที่ตอบโจทย์แบรนด์ และมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค
6. นักช้อปไทยเป็น “MU-SHOPPERS”
สิ่งหนึ่งที่เป็นความโดดเด่นมากสำหรับนักช้อปไทยคือ เป็น MU-SHOPPERS จากข้อมูลพบว่า
– 74% ของคไนทยเป็น MU-SHOPPERS เช่น เชื่อเลขนำโชค, โชคลาง, โชคชะตา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ
เมื่อเจาะลึก Generation พบว่า MU-SHOPPERS ไม่ใช่กลุ่ม Old Generation แต่เป็น Younger Generation
– 80% ของ Gen Z เชื่อเรื่องมู
– 74% ของ Gen Y เชื่อเรื่องมู
ปัจจุบันจะเห็นหลายแบรนด์ทำการตลาด Muketing เช่น พัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือบริการเชื่อมโยงกับความเชื่อของผู้คน
7. คนไทยนิยมช้อปปิ้งผ่านมือถือ
ปัจจุบันผ่านยุค COVID-19 ไปแล้ว ผู้คนกลับมาใช้ชีวิตข้างนอกตามปกติ ไปซื้อสินค้าที่ไฮเปอร์มาร์เก็ต ซูเปอร์มาร์เก็ต หรือไปศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า แต่สิ่งที่เป็น Game Changer มาจนถึงวันนี้คือ “อีคอมเมิร์ซ”
อุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยเติบโตอย่างมาก และสิ่งที่เป็นความโดดเด่นของนักช้อปไทยคือ นิยมช้อปผ่านมือถือ
– 68% ของคนไทยช้อปปิ้งผ่านมือถือ เพราะตอบโจทย์ความง่าย ความสะดวก ช้อปได้ทุกที่
8. เปิดเทรนด์ช้อปปิ้ง 2025 ในไทย
– ซื้อสินค้าราคาย่อมเยาขึ้น เช่น ซื้อแบรนด์เดิม ในขนาดเล็กลง หรือซื้อสินค้าหมวดหมู่เดิม ในราคาย่อมเยาขึ้น และคุณภาพที่ตอบโจทย์ได้
– เทรนด์ธรรมชาติ (Natural) มาแรง เนื่องจากคนกังวลสารเคมีจะสร้างผลกระทบต่อร่างกาย ซึ่งเทรนด์นี้สอดคล้องกับเทรนด์ Preventive คือ เน้นป้องกันมากกว่ารักษา
– เทรนด์ซื้อสินค้าเกี่ยวกับ Soft Power ของไทย เมื่อเจาะลึกข้อมูลพบว่าผู้บริโภคกลุ่มที่ซื้อสินค้าไทย ไม่ว่าจะเป็นอาหารไทย แฟชั่นไทย เครื่องประดับไทย เป็นกลุ่ม Younger Generation สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคกลุ่มนี้ต้องการสินค้าที่มีเอกลักษณ์ และมีความภาคภูมิใจ
– เทรนด์ Anti-Aging หรือผลิตภัณฑ์ป้องกันริ้วรอย เป็นอีกเทรนด์ช้อปปิ้งหลักของคนไทย
– เทรนด์ซื้อสินค้าสำหรับคนเดียว – ขนาดเล็กลง รับสังคมคนโสด (Single Eonomy) และคนอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมมากขึ้น
– เทรนด์ซื้อสินค้า เพื่อวางแผนสำหรับอนาคต ไม่ใช่แค่เฉพาะปัจจุบัน เป็นผลสืบเนื่องมาจากคนไทยหลังยุค COVID-19 ให้ความสำคัญกับการวางแผนอนาคตมากขึ้น
– นักช้อปต้องการประสบการณ์ช้อปปิ้งหลากหลาย และแปลกใหม่ เช่น เข้าไปอยู่ใน Metaverse หรือช้อปผ่านเกม
เจาะลึกกลยุทธนำพาแบรนด์ชนะใจลูกค้า
จากเทรนด์และอินไซต์ดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่านักช้อปไทยมีความต้องการซับซ้อนอย่างมาก และมีหลายเรื่องในชีวิตที่ต้องบาลานซ์ ดังนั้นแบรนด์ที่จะเข้าถึงนักช้อปไทยและชนะใจได้สำเร็จนั้น ต้องเข้าใจในความต้องการ เทรนด์ และปัจจัยแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงต่างๆ ซึ่ง ดร. อาภาภัทร พาไปเจาะลึกกลยุทธ์แบรนด์ชนะใจนักช้อปได้ ประกอบด้วย
1. ชนะใจด้วยความคุ้มค่า
ความคุ้มค่าในที่นี้ ไม่ใช่แค่ราคา แต่ประกอบด้วย 3 อย่างคือ
– ราคา
– ความคุ้มค่าของผลิตภัณฑ์
– การตอบโจทย์คุณค่า หรือค่านิยมส่วนบุคคล (Personal value) เช่น ปัจจุบันผู้บริโภคซื้อสินค้า นอกจากพิจารณาคุณภาพ ความคุ้มค่าของสินค้าแล้ว ยังมองถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมด้วยว่าสินค้านั้น แบรนด์นั้นมีส่วนช่วยด้านสิ่งแวดล้อมหรือไม่
2. แบรนด์ปรับตัวและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI
ปัจจุบันเข้าสู่ยุค AI แล้ว และความน่าสนใจของตลาดไทยคือ ผู้บริโภคไทยเปิดรับเทคโนโลยี AI ผลวิจัยพบว่า คนไทยเปิดรับและใช้ AI ในชีวิตประจำวัน โดยรู้สึกว่า AI จะเข้ามามีบทบาทต่อสังคมและขีวิตเขา เช่น ใช้ Chatbot, เล่นเกม หรือซื้อสินค้าในโลกดิจิทัล เพราะฉะนั้นการเปิดรับและใช้ AI ของคนไทย เป็นโอกาสที่ดีสำหรับแบรนด์ในการใช้เทคโนโลยีต่างๆ ในการเชื่อมต่อกับนักช้อป พูดคุยกับนักช้อป และปิดการขาย
3. ให้ความสำคัญกับการวางกลยุทธ์ตาม Generation
ข้อมูลเชิงประชากรปัจจุบัน สัดส่วน Gen Z อยู่ที่ 20%, Gen Y 23%, Gen X 25%, Baby Boomer 18% และ Silent Gen 4% จะเห็นได้ว่ากลุ่ม Gen X และ Baby Boomer รวมกัน 43% ถือเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ของไทย มีทั้งช่วงวัยกลางคนที่ต่อไปจะเข้าสู่ช่วงสูงวัย และกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งผู้บริโภคกลุ่มสูงวัยเรียกว่า “Silver Generation” มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น นี่คือนักช้อปทั้งในปัจจุบันและอนาคต
จากข้อมูลพบว่า 1 ใน 5 ของคนไทยมีอายุเกิน 60 ปี อย่างไรก็ตาม Silver Gen ในปัจจุบันมีไลฟ์สไตล์แตกต่างจากผู้สูงอายุในอดีต สิ่งที่ผู้บริโภคกลุ่มนี้ต้องการคือ
– ใช้ผลิตภัณฑ์ความงาม และ Anti-Aging
– ดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน
– ยังคงเข้าสังคม
– พึ่งพาตัวเอง
– มีความภาคภูมิใจในตัวเอง
– อิสระ ใช้ชีวิตตามวิถีของตัวเอง
นอกจากนี้ Silver Gen ใช้ออนไลน์อยู่เสมอ ทั้งโซเชียลมีเดีย และอีคอมเมิร์ซ
– 42% ของ Silver Gen ใช้โซเชียลมีเดีย
– 46% ช้อปผ่านอีคอมเมิร์ซ
– 35% มองหาไอเดียและคำแนะนำจาก Influencer บนโซเชียลมีเดีย อีกทั้ง Silver Gen เองหลายคนก็เป็น Influencer เช่นกัน
เพราะฉะนั้นผลิตภัณฑ์ หรือบริการต่างๆ ที่จะทำตลาดเข้าถึง Silver Gen ต้องตอบโจทย์ความต้องการหลากหลายเหล่านี้ โดยทำให้การช้อปปิ้งเป็นเรื่องสนุกขึ้นสำหรับผู้บริโภคกลุ่มนี้ เช่น
– บริการรถเข็นติดมอเตอร์
– บริการผู้ช่วยช้อปปิ้ง
– ใช้ป้ายใหญ่ ข้อความชัดเจน
– ใช้ AI แนะนำสินค้าเชื่อมโยงด้านสุขภาพ การวางแผน การดูแลตัวเอง รวมทั้งอุปกรณ์ Smart Home ต่างๆ
นอกจาก Silver Gen แล้ว อีก Generation หนึ่งที่นักการตลาดให้ความสำคัญคือ “Gen Z” ผู้บริโภคกลุ่มนี้มีความซับซ้อน และมีความเป็นตัวตนสูงมาก เพราะฉะนั้นผู้บริโภคกลุ่มนี้ต้องการสิ่งที่เชื่อมโยงกับตัวตนของเขา
ดังนั้นแบรนด์สามารถตอบโจทย์ Gen Z ด้วย “Personalization” โดยนำเทคโนโลยี AI มาให้บริการ เช่น Walmart เชนค้าปลีกระดับโลก นำ AI ให้คำแนะนำสินค้า ช่วยให้ลูกค้าหาสินค้าได้ง่าย สั่งซื้อสินค้าได้ก่อน หรือแบรนด์ North Face ใช้ Data และ AI ของ IBM Watson ให้คำแนะนำผลิตภัณฑ์เฉพาะบุคคลตามกิจกรรมและความชอบของลูกค้า
4. การสร้างประสบการณ์
นอกจากชนะใจลูกค้าด้วยคุณภาพ-ความคุ้มค่า การปรับใช้เทคโนโลยี และการวางกลยุทธ์บนความเข้าใจความต้องการ Generation แล้ว อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่จะชนะใจลูกค้า คือ “การสร้างประสบการณ์”
– 80% ของนักช้อปไทย ทั้งผู้หญิง-ผู้ชาย และในหลาย Generation โดยเฉพาะ Gen Y, Gen Z บอกว่าประสบการณ์ช้อปปิ้งมีผลต่อการตัดสินใจซื้อ
ข้อแนะนำของ Kantar ต่อแบรนด์ในการสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งให้กับลูกค้า แบรนด์ควรตอบโจทย์สิ่งที่เป็นพื้นฐานที่ผู้บริโภคคาดหวังกับแบรนด์ก่อน นั่นคือ ความสะดวก และการบริหาร
และเมื่อตอบโจทย์สิ่งที่เป็นพื้นฐานได้แล้ว ให้ไปอีกระดับหนึ่ง คือ “Delight” ทำให้ผู้บริโภครู้สึกดีกับแบรนด์ มีเซอร์ไพรส์ลูกค้า
– 73% ของนักช้อปไทยมองหาความตื่นตาตื่นใจ เซอร์ไพรส์ใหม่ๆ เกินกว่าที่เขาคาดไว้
– ใกล้เคียงกับนักช้อปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 77% ของนักช้อปในภูมิภาคนี้ ชอบเซอร์ไพรส์ใหม่ๆ จากแบรนด์เช่นกัน
เหตุผลที่ “ประสบการณ์” สำคัญอย่างมากสำหรับแบรนด์ นั่นเพราะ
1. ถ้าผู้บริโภคได้รับประสบการณ์ที่ดี จะสร้างความพึงพอใจ นำไปสู่ Brand Loyalty ได้
2. ช่วยให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ดีขึ้น
3. Conversion Rate ของแบรนด์ดีขึ้น
4. ทุกวันนี้ผู้บริโภคนิยมช้อปปิ้งออนไลน์มากขึ้น เพราะฉะนั้นการสร้างประสบการณ์ช้อปทางออนไลน์ จะกระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อจริง
ตัวอย่างกลยุทธ์การสร้างประสบการณ์ เช่น “Music Strategy” เพราะเสียงเพลง ทวงทำนอง จังหวะดนตรี มีอิทธิพลต่ออารมณ์ความรู้สึกของผู้บริโภค เพราะเมื่อคนรู้สึกมีความสุข สบายใจ ผู้บริโภคจะช้อปปิ้งด้วยความสบายใจ และกระตุ้นให้เกิดการซื้อ ขณะเดียวกันเสียงเพลง ยังสะท้อนถึงภาพลักษณ์ของแบรนด์ และ การนำเสนอ “ความสะดวกสบายในการชำระเงิน” เช่น Contactless Payment, Wearable Payment หรือ Selfie Pay
ดร. อาภาภัทร ยังได้ฉายภาพ Framework การสร้างประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมาย ที่แบรนด์สามารถนำไปปรับใช้กับนักช้อป
1. Frictionless Experience:การสร้างประสบการณ์อย่างไร้รอยต่อ อย่างนำเสนอ Omnichannel เชื่อมต่อทั้งออนไลน์ และออฟไลน์เข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ
2. Branded Experience: การสร้างแบรนด์ที่ทำให้ผู้บริโภคเห็น ได้ยิน หรือสัมผัส รับรู้ได้ทันทีว่าเป็นแบรนด์อะไร เป็นอีกขั้นหนึ่งที่ขยับขึ้นจาก Frictionless Experience เช่น Sensory Marketing สร้างแบรนด์ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5, Color Branding สร้างการจดจำด้วยสีประจำแบรนด์ เห็นแล้วรู้ได้ทันทีว่าเป็นแบรนด์อะไร
3. Meaningful Different Experience: การสร้างประสบการณ์อย่างมีความหมายกับผู้บริโภค และมีความโดดเด่น-แตกต่าง เป็นการสร้างประสบการณ์ขั้นบนสุดของ framework นี้ ซึ่งจะทำให้แบรนด์มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้า นำไปสู่การซื้อซื้อ ภักดีต่อแบรนด์ และแนะนำแบรนด์ให้กับคนอื่น
พร้อมทั้งสรุป 5 Key Takeaways ดังนี้
1. แบรนด์ต้องอยู่ในหลายช่องทาง เมื่อนักช้อปอยู่ในจุดที่ต้องการตัดสินใจ ซึ่งเป็น key moment ของเขา แบรนด์ต้องอยู่ตรงนั้น เพื่อ connect และทำให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าของแบรนด์
2. ผู้บริโภคมีความซับซ้อนและความต้องการหลากหลาย เพราะฉะนั้นต้องหาวิธีการเซอร์ไพรส์ใหม่ๆ เพื่อสร้างประสบการณ์ว้าว!
3. ประสบการณ์ในการช้อปสำคัญมาก (Shopping Experience) ไม่ว่าจะเป็นการสร้างประสบการณ์ทางออนไลน์และออฟไลน์
4. อย่าเอาแต่ขายของ แต่ให้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้บริโภค เพราะจะนำพาแบรนด์เข้าไปอยู่ในใจผู้บริโภคได้นานขึ้น
5. Personalization จากเดิมทีเป็นแบรนด์ แต่ปัจจุบันเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคคาดหวังว่าแบรนด์จะต้องให้เขา
