– ภาพรวมการใช้เม็ดเงินโฆษณาดิจิทัล ปี 2019 ถูกคาดการณ์ว่าจะสูงถึง 20,163 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จากปีที่ผ่านมา โดยแบ่งเป็น 9,019 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี และคาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปี จะมีเม็ดเงินอยู่ที่ 11,144 ล้านบาท
– อุตสาหกรรมที่ใช้เม็ดเงินกับโฆษณาดิจิทัล สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มยานยนต์ (2,596 ล้านบาท), กลุ่มสกินแคร์ (1,900 ล้านบาท), กลุ่มการสื่อสาร (1,584 ล้านบาท), กลุ่มเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอลล์ (1,436 ล้านบาท) และกลุ่มธนาคาร (1,197 ล้านบาท)
– กลุ่มสแน็ค เป็นอุตสาหรรมการที่มีการใช้เม็ดเงินกับโฆษณาดิจิทัลเพิ่มขึ้น กว่า 109% โดยคาดว่ามูลค่าในปีนี้จะอยู่ที่ 690 ล้านบาท จากเดิม 329 ล้านบาท
– Facebook และ Youtube ยังคงเป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมที่นักโฆษณาและนักการตลาดให้ความสำคัญ
ตัวเลขเหล่านี้ถือเป็นเพียง “น้ำจิ้ม” ที่สะท้อนว่า “เทรนด์โฆษณาดิจิทัล” นั้นเติบโตอย่างต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว รวมถึงสถิติอื่น ๆ และเทรนด์น่าสนใจ จากงาน “DAAT DAY 2019 – All Things Digital” ซึ่งจัดโดยสมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย) ยิ่งทำให้เราได้รู้ว่าภาพรวม และเทรนด์การใช้งบประมาณกับโฆษณาสื่อดิจิทัลเป็นอย่างไร แต่ละอุตสาหกรรมให้ความสนใจและดำเนินการด้านโฆษณาไปในทิศทางไหน Marketing Oops! สรุปมาให้โดยละเอียด…!
โฆษณาดิจิทัล ขยายตัวทุกปี ๆ ละ 3,000-4,000 ล้านบาท
ข้อมูลที่เราได้จากงานครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำว่าแบรนด์หันมาลงทุนกับสื่อโฆษณาดิจิทัลมากขึ้นทุกปี นับตั้งแต่ปี 2016 จากเดิมที่ใช้เม็ดเงินราว 9,479 ล้านบาท ก็ขยับขึ้นเป็น 12,402 ล้านบาทในปี 2017 (เพิ่มขึ้น 31%) และ 16,928 ล้านบาทในปี 2018 (เพิ่มขึ้น 36%) กระทั่งปีนี้ ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดในโฆษณาดิจิทัลกว่า 20,163 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นราว 19%) เท่ากับว่าแต่ละปี…เม็ดเงินสะพัดมากขึ้น 3,000-4,000 ล้านบาท มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสาเหตุหลักที่สนับสนุนให้การใช้สื่อโฆษณาดิจิทัลเติบโต มาจากการที่ “สื่อดั้งเดิม” ล้มหายไปจากธุรกิจเป็นจำนวนมาก ทั้งยังย้ายไปสู่ดิจิทัลแพลตฟอร์ม ทำให้เทรนด์โฆษณามุ่งมาที่ออนไลน์และโซเชียลมีเดียอย่างชัดเจน
จับตา “สกินแคร์ – สแน็ค” ม้ามืด! ขณะที่ “สื่อสาร – อสังหาฯ” ใช้เงินน้อยลง
สำหรับ 5 อุตสาหกรรมที่ใช้เม็ดเงินกับโฆษณาดิจิทัล สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มยานยนต์ คิดเป็นสัดส่วนราว 13% ของการลงทุนผ่านสื่อโฆษณาดิจิทัลทั้งหมด, กลุ่มสกินแคร์ 9%, กลุ่มการสื่อสาร 8%, กลุ่มเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอลล์ 7% และกลุ่มธนาคาร 6%
โดย “กลุ่มสกินแคร์” ถือเป็นม้ามืดมาแรง! เพราะเม็ดเงินที่ลงทุนกับโฆษณาดิจิทัลนั้นเพิ่มขึ้นอย่างน่าสนใจ และมีโอกาสขึ้นเป็นอันดับ 2 แทน “กลุ่มการสื่อสาร” ซึ่งลดลงไปเป็นอันดับ 3 อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์ว่ากลุ่มสกินแคร์ อาจขยับขึ้นเป็นอันดับ 1 ของการใช้เม็ดเงินกับโฆษณาดิจิทัลภายใน 3 ปีข้างหน้าอีกด้วย
ขณะที่ “กลุ่มสแน็ค” เป็นอุตสาหกรรมที่ลงทุนกับสื่อโฆษณาดิจิทัลเพิ่มขึ้นมากที่สุดในปีนี้ ถึง 109% คิดเป็นมูลค่าราว 690 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมา 329 ล้านบาท แม้ตัวเลขมูลค่าที่ใช้เม็ดเงินจะต่ำกว่าหลาย ๆ อุตสาหกรรม แต่ต้องยอมรับว่ากลุ่มสแน็คหันมาเข้าถึงลูกค้าเป้าหมาย ซึ่งเป็นเด็กและวัยรุ่นผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น เช่น Twitter โดยใช้แฮชแท็กแปลก ๆ เพื่อโปรโมทและสร้างการรับรู้ให้สินค้า หรือ LINE TV ด้วยการทำคอนเทนต์เจาะกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการใช้ YouTube, TikTok, JOYLADA เป็นต้น แต่สาเหตุที่กลุ่มสแน็คหันมาทุ่มให้กับโฆษณาดิจิทัล เป็นเพราะเม็ดเงินบางส่วนเป็นการถ่ายโอนมาจากแพลตฟอร์มเดิมอย่างสื่อทีวี ซึ่งปิดตัวลงหลายช่องโดยเฉพาะช่องรายการเด็ก ทำให้ธุรกิจสแน็คต้องหันไปใช้โฆษณาดิจิทัลมากขึ้น
ส่วนกลุ่มที่ใช้เม็ดเงินลดลง ได้แก่ “กลุ่มการสื่อสาร” (ทั้งเทลโก้และดีไวซ์) ลดลง 18% (จากเดิม 1,925 ล้านบาท เป็น 1,584 ล้านบาทในปีนี้) เนื่องจากการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี 2G สู่ 3G ทำให้ธุรกิจเทลโก้ชะลอการลงทุนเพื่อสร้างแบรนด์ดิ้งแต่หันไปเน้นกิจกรรมส่งเสริมการขายแทน ขณะที่ธุรกิจดีไวซ์ก็ยังให้ทำโฆษณากับสินค้ารุ่นเรือธงตามปกติ และ “กลุ่มอสังหาริมทรัพย์” ลดลง 1% (จากเดิม 585 ล้านบาท เป็น 582 ล้านบาทในปีนี้) เนื่องจากปัญหาด้านเศรษฐกิจ
3 แพลตฟอร์ม “ขวัญใจ” นักโฆษณาและการตลาด
อย่างที่บอกว่า “Facebook” และ “YouTube” ยังคงเป็นแพลตฟอร์มที่นักโฆษณาและการตลาดเลือกใช้เป็น 2 อันดับแรก หากวัดจากมูลค่าเม็ดเงินของสื่อโฆษณาดิจิทัลที่คาดการณ์ในปีนี้ จะใช้กับ Facebook 5,762 ล้านบาท และ YouTube 4,120 ล้านบาท ซึ่งธุรกิจที่ใช้เงินกับโฆษณาบน Facebook สูงสุด คือ กลุ่มยานยนต์ ประมาณ 678 ล้านบาท ส่วนกลุ่มที่ลงเม็ดเงินกับ YouTube สูงสุด คือ กลุ่มสกินแคร์ ประมาณ 745 ล้านบาท
นอกจากนี้ “Creative” กลายเป็นอันดับ 3 ที่นักโฆษณาและการตลาดลงเม็ดเงินโฆษณาด้วย คาดว่าจะมีมูลค่ารวม 2,108 ล้านบาท ซึ่งธุรกิจที่คาดว่าลงโฆษณาดิจิทัลกับเรื่อง Creative สูงสุด 2 ธุรกิจ คือ กลุ่มยานยนต์ 318 ล้านบาท และกลุ่มเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอลล์ 187 ล้านบาท เนื่องจากแบรนด์ต้องการสร้างความแตกต่างในการสื่อสารไปยังผู้บริโภค โดยเน้นสร้างความโดดเด่นอย่างชัดเจนในแต่ละแพลตฟอร์ม แต่ต้องเป็นการต่อยอดจาก Key Messages และ Target จากเป้าหมายเดียวที่แบรนด์ต้องการนำเสนอ
“Native Ads – Search” จูงมือ “หดตัว”
แนวโน้มที่เกิดขึ้นในกลุ่ม “Native Ads” และ “Search” เป็นกลุ่มที่ปรับลดลงในขณะที่กลุ่มอื่นเติบโตขึ้น โดย Native Ads ปรับตัวลงถึง 69% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา จากเดิมที่เคยเติบโต 155% ส่วนกลุ่ม Search ปรับตัวลง 1% จากเดิมที่เคยเติบโตถึง 60% อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ทำให้ Native Ads ลดลงอย่างมากนั้น มาจากการที่กลุ่มสินค้า FMCG หันไปทำโฆษณากับแพลตฟอร์มอื่นมากขึ้น อาทิ Display และโซเชียลมีเดีย ซึ่งสามารถผลักดันให้เกิดการขายได้อย่างชัดเจน แต่กลุ่มยานยนต์ กลุ่มการสื่อสาร และกลุ่มประกันภัย ก็ยังคงใช้ Native Ads อย่างต่อเนื่อง
“Data Analytics” ยอดดวงใจนักการตลาด!
ในปี 2019 เรื่องของ Data Analytics กลายเป็นประเด็นสำคัญที่นักการตลาดต้องให้ความสำคัญ ขณะที่เรื่อง Content และ Search กลายเป็นเรื่องที่ถูกลดความสำคัญลง โดยปีที่ผ่านมา “Content” เคยเป็นอันดับ 1 ที่นักการตลาดยุคดิจิทัลให้ความสำคัญ แต่ในปี 2019 เรื่องของ “Data Analytics” กลายเป็นอันดับ 1 ที่มีความสำคัญมากที่สุด ขณะที่อันดับ 2 ยังคงเป็นเรื่อง Creative เช่นเคย ส่วนเรื่อง “Search” กลายเป็นความสำคัญอันดับที่ 6 หล่นจากเดิมที่เคยอยู่ในอันดับ 5 ในปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เอเยนซี่และนักการตลาดควรให้ความสำคัญมากขึ้นในปี 2019 พบว่ามีความแตกต่างกันเล็กน้อย โดยเอเยนซี่จำเป็นต้องมีความรู้เพิ่มเติมในเรื่อง Data, Innovation, Strategy เป็นต้น ส่วนนักการตลาดจำเป็นต้องรู้ Data, Media, Innovation