ทุกวันนี้ใครที่ขายของออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ Facebook Instagram และ Line จะต้องมีทีมงานเตรียมพร้อมตอบคำถามลูกค้าที่เข้ามาถามรายละเอียดสินค้าที่เราโชว์ ยิ่งเราตอบเร็ว ตอบละเอียด และเป็นกันเองตลอด 24 ชั่วโมง ทุกที่ ลูกค้ายิ่งประทับใจในบริการของเราแล้วจะบอกต่อเพื่อนพี่น้องให้ซื้อของจากร้านเราในที่สุด
แต่คงไม่มีใครสามารถทำแบบนั้นได้ 24 ชั่วโมงคนเดียว ต้องมีทีมงานคอยเฝ้าแต่ละช่วงเวลา ทำให้เกิดต้นทุนที่ไม่จำเป็นเลย ดังนั้นการเข้ามาของเทคโนโลยีอย่าง “Chatbot” ที่จะ
- ตอบคำถามช่วยเหลือลูกค้าแทนคน
- ส่งโฆษณาที่ถูกใจลูกค้าแต่ละคนได้หลากหลาย
- ให้ความบันเทิงกับเหล่าแฟนเพจได้
Chatbot จึงช่วยลดต้นทุน ประหยัดเวลา ไม่ต้องปวดหัวกับการจ้างการดูแลพนักงาน เอาเวลาไปพัฒนาสินค้าหรือทำงานส่วนอื่นที่มีประโยชน์มากกว่า
httpv://www.youtube.com/watch?v=P4Z8Sevz5GY&t=65s
แน่นอนว่าร้านค้าออนไลน์จะมี Chatbot ที่ตอบเหมือนๆกันหมด เพราะแต่ละร้านก็มีประเภทลูกค้าต่างกัน แบรนด์ก็ต่างกัน ร้านค้าออนไลน์หรือองค์กรต่างๆต้องออกแบบ Chatbot ให้ตรงกับความต้องการของเราให้มากที่สุด เช่นบางองค์กรใช้ Chatbot ไว้ดูแลลูกค้า บางร้านใช้ Chatbot เป็นตัวขายของตรงๆเลย หรือจะให้ Chatbot ทำหน้าที่ถามตอบผู้ใช้สินค้าหรือบริการแทนเราได้
httpv://www.youtube.com/watch?v=zfGSf3tBglw
วิธีการทำ Chatbot สำหรับ Facebook Messenger
ทำอย่างไร Chatbot ของเราถึงจะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ?
อย่างแรกต้องดูตัวธุรกิจเองก่อน ดูว่าฟีเจอร์ของ Chatbot ตัวไหนที่ตอบโจทย์ลูกค้าผู้ใช้งาน มีอะไรมาวัดว่า Chatbot ที่เรามีนั้นประสบความสำเร็จ ที่สำคัญ Chatbot จะต้องตอบคำถามให้ผู้ใช้บริการได้รับประโยชน์และรู้สึกว่าได้คุยกับคนจริงๆ ไม่ใช่ระบบอัตโนมัติ
และนี่คือหลัก 7 ข้อที่ทุกธุรกิจต้องห้ามลืมสำหรับการพัฒนา Chatbot ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้บริการ
1. ระมัดระวังในการเลือกฟีเจอร์ของ Chatbot
หาแพลตฟอร์มที่ทำให้ Chatbot ทำงานเข้ากันได้ ยิ่งใส่ฟีเจอร์เยอะ ยิ่งใช้เวลาพัฒนา Chatbot นานขึ้น และยิ่งเสี่ยงที่ Chatbot จะทำงานพลาดมากขึ้น ฉะนั้นเลือกฟีเจอร์ทีจำเป็นกับเป้าหมายของธุรกิจจริงๆ อย่างน้อยก็ให้ Chatbot ตอบคำถามผู้ใช้บริการได้ตรงประเด็นและเป็นประโยชน์ อย่างน้อย Chatbot ต้องให้ข้อมูลของธุรกิจได้ เวลาทำการ ราคา ข้อเสนอ โปรโมชั่น และรายละเอียดสินค้าและบริการ
2. คุยกับ Chatbot เหมือนคุยกับคนจริงๆ
เพราะอย่าลืมว่า Chatbot ก็เป็นตัวแทนของแบรนด์ด้วย ฉะนั้นการพูดการคุยกับ Chatbot ต้องสอดคล้องกับตัวตนของแบรนด์ด้วย เราจึงต้องใส่ตัวตลของแบรนด์ลงปใน Chatbot เช่นกัน อย่างน้อยผู้ใช้บริการต้องไม่รู้สึกว่าคุยกับหุ่นยนต์หรือระบบอัตโนมัติ อย่าหลอกผู้ใช้บริการว่าเขาคุยกับคน แต่บอกไปตรงๆว่ากำลังคุยกับ Chatbot ที่ใช้ภาษาคนอยู่จะดีกว่า
3. ให้ Chatbot ทำหน้าที่เชิงรุกมากกว่านี้
ผู้ใช้บริการอาจจะไม่แน่ใจว่า Chatbot ใช้งานอย่างไร บางทีก็ตัดสินใจไม่คุยกับ Chatbot เลย ฉะนั้นขอให้พัฒนา Chatbot ที่โต้ตอบกับผู้ใช้บริการเมื่อตอนที่ผู้ใช้บริการเปิดหน้าจอแชท อย่าให้ Chatbot แนะนำตัวเยิ่นเย้อมากและเปิดบทสนทนาทันทีเลย เช่นแนะนำธุรกิจ แนะนำชุดสินค้า เชิญชวนสั่งซื้อและจัดการออเดอร์
4. ใช้ Chatbot เป็นเครื่องมือให้บริการลูกค้า
ปรกติเราใช้ Chatbot ดูแลลูกค้าและเครื่องมือให้ผู้ใช้บริการไปช่วยเหลือตัวเอง ทำให้ผู้ใช้บริการรู้สึกว่าทำอะไรได้มากขึ้นก็จริง แต่ผู้ใช้บริการสามารถประหยัดเวลาและทรัพยากรได้โดยใช้ Chatbot ให้บริการตัวเองได้ด้วย ฉะนั้น Chatbot ต้องสามารถเปลี่ยนข้อมูลโปรไฟล์เองได้ อัพเดทรายละเอียด ดูแผนกาาร สินค้าและบริการ จัดการออเดอร์และการจ่ายเงินได้ และจัดตารางนัดหมายกับตัวแทนบุคคลได้
5. ใช้ Chatbot ให้รับกับกลยุทธ์การตลาด
Chatbot อย่างเดียวก็มีผลกับแบรนด์แล้ว แต่ Chatbot ที่ประสบความสำเร็จต้องเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ด้วย เช่นใช้ Chatbot เป็นช่องทางกระจายสินค้าและโปรโมชั่นพิเศษ รวบรวมข้อมูลลูกค้าเพื่อหาพฤติกรรมล๔กค้าในภาพรวม ใช้สื่อในการประชาสัมพันธ์ตัว Chatbot
6. เชื่อมต่อ Chatbot กับแพลตฟอร์มของอีคอมเมิร์ซ
ให้ Chatbot รับออเดอร์และจ่ายเงินผ่านข้อความ โพสต์และคอมเมนต์ ผ่านแพลตฟอร์มของอีคอมเมิร์ซไม่ว่าจะเป็น Facebook Instagram และ Line เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์การซื้อของที่ถูกใจ
7. ใช้งาน Chatbot ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ต้องมีค่าวัดว่า Chatbot ประสบความสำเร็จหรือไม่ ข้อมูลที่ได้จากตัวชี้วัดก็เอามาปรับปรุงพัฒนาการทำงานของ Chatbot ได้ ลองทดสอบ Chatbot ไปเรื่อยๆจนกว่ามันจะมีความเป็นคนมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการแนะนำธุรกิจ น้ำเสียง บทสนทนาไหลลื่นดีหรือไม่ ฟีเจอร์ และทางเลือกในการบริการตัวเอง รวมถึงการเชิญชวนให้ซื้อสินค้าด้วย
ถ้าทำตามหลัก 7 ข้อทีว่ามา รับรองว่า Chatbot จะช่วยให้ยอดขายคุณโตอย่างไม่น่าเชื่อและมีประสิทธิภาพกว่าเดิม แถมสร้างไวรัลให้กับแบรนด์ด้วย
แหล่งที่มา
https://www.entrepreneur.com/article/293986