ในตอนนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก MrBeast ที่เป็นช่อง Youtube ที่ดังที่สุดในโลก และมี Youtuber หลาย ๆ คนนั้นทำตามContent ของ MrBeast เช่นกัน ความโด่งดังของ MrBeast ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่มาเพราะการทำกลยุทธ์ของตัวเองที่น่าสนใจ และเตรียมตัวมาตั้งเนิ่น ๆ ในการสร้างช่องของตัวเองขึ้นมา
The Nudge Podcast ได้เล่าวิธีการที่ MrBeast สร้างช่องของตัวเองขึ้นมา ว่าในช่วงเริ่มแรกของการทำ Youtube นั้นMrBeast ได้ใช้ข้อได้เปรียบทางจิตวิทยาที่ทำให้สามารถดึงดูดความสนใจของผู้ติดตาม คนดู และสร้างความโด่งดังของตัวเองขึ้นมาได้ ซึ่งข้อได้เปรียบทางจิตวิทยาที่ MrBeast ใช้นั้นมีดังนี้ คือ
1. ยิ่งลงทุนสูง ยิ่งทำให้คนรู้สึกได้
มนุษย์นั้นให้คุณค่าต่อสิ่งต่าง ๆ จากการที่รู้ว่ามูลค่าสิ่งนั้น ๆ ว่า ลงแรงไปมากแค่ไหน ใช้เวลาแค่ไหน พลังงานแค่ไหนและเงินแค่ไหน ตัวอย่างง่าย ๆ ในงาน Fashion show ในเสื้อ Couture ต่าง ๆ ที่จะมีการสร้าง Values ให้คนที่ดูรู้สึกว่าสูง ตามข้อมูลที่บอกว่า ใช้คนทำกี่คน ใช้เวลาเท่าไหร่ วัสดุอะไร วัสดุหมดไปเท่าไหร่ รวมมูลค่าเท่าไหร่ขึ้นมา หรือตัวอย่างร้าน Fine dining ที่แสดงให้เห็นถึงอาหารว่า ใช้คำทำกี่คน เตรียมวัตถุดิบยากอย่างไร และกว่าจะมาเป็นจานนี้มีความเป็นมาอย่างไรผ่านบริกร ที่โต๊ะ
เมื่อคนเห็นกระบวนการ ความเหนื่อย ความยิ่งใหญ่ ความทุ่มเท คนก็ยิ่งให้คุณค่าเพิ่มขึ้น MrBeast ก็ทำเช่นเดียวกันในการทำ Content แต่ละอันขึ้นมา โดยการแสดงให้เห็นว่า ใช้เวลามากแค่ไหนกับการทำ Content แต่ละอัน แม้ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องง่าย ๆ ก็คาม เช่นการนับ 1-100000 ที่มีคนดูเป็นล้านคนขึ้นมา วิดีโอบางตัวของ MrBeast นั้นใช้เวลาหลายอาทิตย์ในการทำภารกิจให้เสร็จ ทำให้คนที่ดูนั้นรู้สึกว่ามีการทุ่มเท เพื่อทำให้คนดูและทำให้คนดูติดตามได้
2. มูลค่ายิ่งสูง ยิ่งทำให้รู้สึก Relevance
ด้วยการวางกลยุทธ์ ที่ทำให้ผู้ชมนั้นรู้สึกว่า มีการลงทุนด้านการเงินที่สูง หรือมีการใช้เงินจำนวนมากในวิดีโอที่ MrBeastสร้างขึ้น ทำให้คนที่ติดตามดูนั้นรู้สึกได้เลยว่า วิดีโอที่กำลังดูนั้นมีคุณภาพสูงและทำให้คนอยากติดตามดูทันที เช่นเดียวกับภาพยนต์ที่โปรโมทล่วงหน้าว่าใช้ทุนสร้างเท่าไหร่ ทำให้คนที่ติดตามคาดหวังว่า เมื่อใช้ต้นทุนที่สูงในการสร้าง ก็จะได้ภาพยนต์มีคุณภาพที่ดี ที่จะรับชมเพื่อความบันเทิงได้อย่างเต็มที่ การลงเงินให้เห็น แสดงถึงความทุ่มเท คุณภาพ และความกล้าในการสร้างContent ที่ใช้เงินขึ้นมา
ตัวอย่างของ MrBeast นี้แบรนด์ก็สามารถนำมาทำได้ โดยการสร้างให้เห็นว่า มีการลงทุนในการทำงานและการทำContent มากน้อยแค่ไหน ผ่านการใช้เวลา พลังงานและทรัพยากรของแบรนด์ในการทำงานขึ้นมา โดยการแสดงให้เห็นเบื้องหลังของแบรนด์ในการทำงานแต่ละชิ้นขึ้นมา
3. กระตุ้นให้สนใจโดยไม่ได้ให้เห็นทั้งหมด
สิ่งหนึ่งที่ MrBeast ที่ใช้เก่งอย่างมากคือการสร้างความอยากรู้ ขึ้นมา จะสังเกตได้ว่าทุก ๆ วิดีโอของ MrBeast นั้นมีการสร้างความอยากรู้เอาไว้ ให้กลุ่มเป้าหมายที่สนใจ มาติดตามต่อได้ ซึ่งนักการตลาด และคนวางกลยุทธ์แบรนด์ก็สามารถเอาไปลองเลียนแบบได้อย่างง่ายได้ โดยสร้างสิ่งที่เรียกว่า Curiosity Gap ขึ้นมาเพื่อดึงและจับความสนใจของคนเอาไว้ และให้คนติดตามต่อได้อย่างง่ายได้
Curiosity Gap นั้นสร้างช่องวางที่เป็นเรื่องระหว่าง “สิ่งที่คุณรู้ กับสิ่งที่คุณไม่รู้เอาไว้” ทำให้คนนั้นเมื่ออยากรู้แล้ว ก็จะอยากรู้ต่อขึ้นมา ลองคิดถึง Teaser ภาพยนต์ก็ได้ ที่ทำให้คุณได้ ไอเดีย ได้คำใบ้ของภาพยนต์ และความคาดหวังไว้ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไร ทำให้คุณต้องหาทางที่จะดูภาพยนต์ให้ได้ เพื่อเติมเต็มช่องว่างเหล่านั้นขึ้นมา และจนกว่าจะได้คำตอบที่คุณต้องการเช่นบทสรุปของเรื่องราว ก็จะทำให้คุณนั้น ติดอยู่กับการดูภาพยนต์จนจบเลยเช่นกัน ซึ่ง MrBeast ก็ทำเช่นเดียวกัน ทำให้คนอยากรู้และดูจนจบเพื่อตอบสนองต่อความพึงพอใจของตัวเองขึ้นมา
แต่สิ่งที่ MrBeast ทำนั้นไม่ได้เกิดเพียงชั่วข้ามคืน แต่เป็นสิ่งที่ MrBeast ทำซ้ำแล้ว ซ้ำอีกเพื่อให้ได้สิ่งที่ถูกต้อง ถูกทางออกมา จนได้เป็นแนวทางในการทำซ้ำ ๆ ในเรื่องนี้ ทำให้ทุกครั้ง MrBeast จะใช้ Curiosity Gap ในการสร้างคำถามในหัวของคนที่ดูภาพเปิดคลิปว่า “ทำได้อย่างไร” และ “เกิดอะไรขึ้นทุกครั้ง” ทำให้เกิดการกดเข้าไปดูคลิปตัวเต็มจนได้
การทำ Content ของ MrBeast ได้ให้บทเรียนสุดท้ายที่น่าสนใจอย่างหนึ่งว่า เราไม่สามารถปลอมหรือแสแสร้ง ในการทำงานกับผู้บริโภคหรือคนติดตามได้ ต้องทำด้วยความจริงใจเท่านั้นจึงจะได้ผลตอบแทนจากผู้ชมและคนติดตามกลับมา