Social Media เปลี่ยนเกม Digital Marketing

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

ความแรงของ Social Networking ไม่เพียงส่งอิทธิพลต่อพฤติกรรมของยูสเซอร์ พ.ศ.นี้เท่านั้น หากคอนเทนท์เหล่านี้ยังสั่นสะเทือนในตลาดโฆษณาอีกด้วย โดยเฉพาะจังหวะที่เศรษฐกิจเสียการทรงตัว งบโฆษณาถูกหั่นไม่เหลือชิ้นดี… แต่ในอีกมุมหนึ่งพายุลูกนี้ได้กลับกลายเป็นแรงเหวี่ยงสร้างคลื่นลูกใหม่ให้สื่ออย่าง “Digital marketing” ได้แจ้งเกิดอย่างที่ไม่ทันตั้งตัว

เหตุผลส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้นทุนบนโลกออนไลน์ที่ต่ำกว่าการใช้สื่อในช่องทางอื่นๆ ทั้งยังสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้สนิทแนบชิด โดยประเมินจากจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 1.7 พันล้านคนทั่วโลก ซึ่งในจำนวนนี้เป็น “เอเชีย ยูสเซอร์” ถึง 42.2% และเป็นผู้ใช้ในไทยราว 16 ล้านคน และยังมีแนวโน้มเติบโตขึ้นต่อเนื่อง

thomasidea

คนใช้”เน็ต”แซงทีวี

ขณะที่ผลสำรวจข้อมูลหลายต่อหลายสำนัก ชี้ให้เห็นว่า พฤติกรรมการใช้งานอินเทอร์เน็ตของผู้คนวันนี้ยังแซงหน้าการใช้เวลากับสื่อทีวีไปแล้ว โดยตัวเลขล่าสุดจาก “บริษัทธอมัสไอเดีย” พบว่าคนใช้เวลากับอินเทอร์เน็ตมากถึง 11.3 ชั่วโมงต่อครั้ง ขณะที่ให้เวลากับทีวีราว 11.2 ชั่วโมงต่อครั้ง

หากสื่อหน้าใหม่ที่กำลังเป็นที่จับตาของคนในแวดวงโฆษณา คือ “ทวิตเตอร์” และ “เฟซบุ๊ค” ที่กำลังทำสถิติโตก้าวกระโดด โดยเพียง 1 ปีที่ผ่านมา ทวิตเตอร์มีอัตราโตถึง 1382% ทั่วโลก ขณะที่ความน่าสนใจของเฟซบุ๊คยังสร้างฐานสมาชิกใหม่ได้ถึง 300 ล้านคนทั่วโลก ด้วยอัตราการใช้งานรวมกัน 6,000 ล้านนาทีต่อวัน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ไม่เพียงสะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ หากแต่ยังเป็น “ดัชนี” สำคัญที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าธุรกิจโฆษณาทั่วโลก

“ข้อมูลเหล่านี้กำลังเป็นสิ่งที่นักการตลาดทุกคนกำลังให้ความสนใจ เพราะเป็นแนวโน้มที่กำลังค่อยๆ สร้างขุมทรัพย์แห่งใหม่ในยุคที่เศรษฐกิจทรุดตัวเช่นนี้ โดยคาดการณ์ว่า บทบาทของสื่อดิจิทัลจะขยับขึ้นจากไม่ถึง 1% หรือราว 1,500 ล้านบาท จากตลาดรวมสื่อทุกชนิดมูลค่ากว่า 9 หมื่นล้านบาท เป็น 2% หรือราว 1,800-2,000 ล้านบาท ในปี 2553” – อุไรพร ชลสิริรุ่งสกุล CEO, Thomas Idea

เป็นเพราะความเข้มข้นของการใช้สื่อออนไลน์ ที่เริ่มผสมผสานเข้ากับสื่อออฟไลน์จนเกือบจะกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน และช่วยพยุงตลาดโฆษณาให้ยังสามารถเติบโตต่อไปได้ รวมทั้งการมาของเทคโนโลยีใหม่อย่าง “3 จี” ในไทยที่คาดว่าจะยิ่งทำให้รูปแบบการนำเสนอคอนเทนท์น่าสนใจยิ่งขึ้น อาทิเช่น โฆษณาในรูปแบบวีดิโอ

เผย 7 เทรนด์สำคัญปีหน้า

เธอชี้ให้เห็นอีกว่า แนวโน้มที่ “น่าจะมีโอกาส” เกิดขึ้นอย่างแน่นอนในวงการโฆษณาปี 2553 คือ “Social Media” จะเริ่มเข้ามามีบทบาทกับการถูกดึงเป็นสื่อโฆษณากระแสหลักมากขึ้น จากความแพร่หลายในการใช้งาน

ขณะที่การสร้างสื่อออนไลน์จะเริ่ม “ผูกติดกับแบรนด์” เพื่อหาวิธีที่ดึงดูดให้ยูสเซอร์อยู่กับสื่อ หรือแบรนด์นั้นๆ ได้นานที่สุด โดยมีข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์พบว่า ผู้ใช้งานที่รู้สึกไม่ชอบเว็บไซต์จะมีพฤติกรรมนำไปเล่าต่อให้คนรู้จักถึง 74% ขณะที่ถ้าชอบจะบอกต่อเพียง 53% และราว 50% ของยูสเซอร์บนโลกออนไลน์จะกลับมาซื้อใหม่

เธอย้ำกว่า จุดนี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการพัฒนาเว็บไซต์ หรือสื่อออนไลน์ให้ตอบโจทย์ความต้องการของยูสเซอร์ให้มากที่สุด เพราะนั่นหมายถึง ผลตอบรับทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้น โดยยังต้องคำนึงถึง “ผลกำไรตอบแทนจากการลงทุน” ซึ่งก็เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญสำหรับการทำตลาดออนไลน์ยุคนี้เช่นกัน

นอกจากนี้ ยังควรมอง “มือถือ” เป็นสื่อใหม่ที่กำลังมาแรง เพราะอุปกรณ์ชนิดนี้สามารถเข้าถึงผู้ใช้งานได้ทั่วถึงมากที่สุด โดยต้องไม่ลืมว่าการใช้ประโยชน์จาก “ฐานข้อมูลลูกค้าสัมพันธ์” ที่มีอยู่ถือเป็นทรัพย์สำคัญที่สร้างรายได้สะท้อนกลับได้มากเช่นกัน

พร้อมกันนี้ เธอยังเชื่อว่า “Email marketing” ก็ยังเป็นช่องทางในการทำตลาดได้ถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดี เพียงแต่จะต้องปรับปรุงวิธีการให้ได้ผลมากขึ้น อาทิเช่น เก็บข้อมูลเชิงลึกจากกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น รวมทั้ง “บริการสืบค้นข้อมูล” ที่เป็นตัวนำหลักที่ทำให้กลุ่มเป้าหมายค้นหาบริการ หรือสินค้าเจอได้ง่าย

แนะใช้สื่อออนไลน์อย่าง “ฉลาด”

อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารธอมัสไอเดียย้ำว่า นักการตลาดต้องเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และต้องรู้วิธีการใช้งาน เทคนิค และวางกลยุทธ์ก่อนพัฒนาผลงาน

“Digital Marketing” ไม่ใช่การสร้างเว็บ เพื่อวางโบรชัวร์ เหมือนที่ผ่านมา ซึ่งมันสะท้อนว่าไม่เวิร์ค แต่ต้องคิดว่าทำอย่างไรให้คนเข้าเว็บ หรือหาวิธีที่ทำให้คนเข้าถึงเว็บได้ง่ายที่สุด และตอบโจทย์ความต้องการ ทำให้คนอยู่กับเว็บได้นานที่สุด และรู้สึกผูกพันกับแบรนด์ ซึ่งไม่จำเป็นว่า การใช้สื่อออนไลน์จะต้องสร้างยอดขายเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ทำให้คนเกิดความผูกพันกับแบรนด์ได้ด้วย”

ปักธงรุกสิงคโปร์ปีหน้า

จากปัจจุบันบริษัทมีฐานลูกค้าที่ให้ช่วยพัฒนาสื่อเว็บไซต์ในไทย โดยเป็นบริษัทไทย 50% ขณะที่ส่วนที่เหลือเป็นธุรกิจต่างชาติที่มีสาขาในไทย

เธอเผยว่า ปีหน้าบริษัทมีแผนจะขยายตลาดใหม่นอกประเทศเป็นครั้งแรก โดยคาดว่าจะตั้งสำนักงานย่อยที่ “สิงคโปร์” ซึ่งถือเป็นสำนักงานใหญ่ของภูมิภาค และมีโอกาสทางการตลาดสูง

“เบื้องต้นเราคงตั้งออฟฟิศย่อยๆ ด้วยงบราว 5 ล้านบาท เน้นบทบาทเป็นครีเอทีฟ โพรไวเดอร์ สร้างสรรค์สื่อออนไลน์ให้กับลูกค้าในประเทศ และหาพาร์ทเนอร์เข้ามาช่วยในส่วนที่ไม่ใช่ธุรกิจของเรา อาทิเช่น การหาสื่อโฆษณาให้ โดยคาดว่าช่วงแรกๆ คงจะเป็นการต่อยอดจากฐานลูกค้าบริษัทต่างชาติที่เป็นลูกค้าเราในไทย และมีบริษัทอยู่ในสิงคโปร์ ซึ่งถ้าแนวโน้มไปได้ดีก็มีแผนจะเข้าไปรุกตลาดใหม่อย่างเวียดนามเป็นประเทศต่อไป”

บทความจาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
logo_bkkbiz


  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
CLOSE
CLOSE