ถอดบทเรียน 10 ปี “แสนสิริ” กับการสร้างความหลากหลายและเท่าเทียม (D&I) ที่ไม่ใช่แค่คำพูด แต่คือการลงมือทำจริง

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

ในขณะที่หลากหลายแบรนด์ยังเพียงแค่พูดถึงความเท่าเทียม (Equality) เป็นเพียงภาพลักษณ์ที่สื่อสารออกไป แต่ “แสนสิริ” ผู้นำรอสังหาริมทรัพย์ไทยรายแรกที่เลือกเดินหน้าอย่างจริงจังกับแนวทาง Sansiri Live Equally ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา แสนสิริมุ่งมั่นสร้างการเปลี่ยนแปลงในสังคมผ่านการผลักดันความหลากหลาย ความเปิดกว้าง และการยอมรับในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิทธิทางการศึกษา สิทธิเด็กและเยาวชน หรือแม้กระทั่งการผลักดัน “สมรสเท่าเทียม” ล่าสุดในปี 2025 แสนสิริได้ต่อยอดจุดยืนผ่านแคมเปญ Just Don’t Judgeหยุดตัดสิน” เพื่อชวนสังคมไทยเปลี่ยนมุมมอง หยุดตีกรอบ และเปิดใจเข้าใจความเป็นมนุษย์ของกันและกันอย่างแท้จริง พร้อมตอกย้ำบทบาทองค์กรแห่งความเสมอภาค ด้วยการคว้ารางวัล “Pride Value of Company” จากเวที Bangkok Pride Awards 2025 อย่างภาคภูมิ วันนี้เราจะพาคุณไปเจาะลึกเบื้องหลังแนวคิดขององค์กรที่ไม่เพียงแค่สร้างบ้าน…แต่ยังสร้างสังคมที่ทุกคนอยู่ร่วมกันได้อย่างเท่าเทียม ผ่านบุคคลผู้อยู่เบื้องหลังหลายๆ โครงการของแสนสิริจาก คุณแซม – สมัชชา พรหมศิริ Chief of Staff บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)

จุดเริ่มต้นของแนวคิดเรื่องความเท่าเทียมและสิทธิเสรีภาพ

คุณแซม เริ่มต้นเล่าแนวคิดเรื่องความเท่าเทียมและสิทธิเสรีภาพของแสนสิริว่า มันอาจจะไม่ได้เริ่มต้นจากประเด็นเรื่องทางเพศสภาพหรือความเท่าเทียมทางสิทธิทางเพศเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากเจตนาที่เราได้เห็น เด็กและเยาวชนที่มีความเปราะบาง ซึ่งอาจไม่มีโอกาสเท่าเด็กคนอื่นเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว เราจึงได้จัดตั้งฟุตบอลอคาเดมีขึ้นมา ซึ่งเป็นสถานที่หล่อหลอมให้เด็ก ๆ ไม่ว่าจะมีสถานะทางสังคมหรือเศรษฐกิจแบบไหน สามารถมาเล่นฟุตบอลกันได้ฟรี โดยมีโค้ชให้ ซึ่งผู้สื่อข่าวเป็นผู้ริเริ่มแนวคิดนี้ไม่ได้มีเป้าหมายให้เด็กเล่นฟุตบอลเก่ง แต่ต้องการให้เด็กจากทุกสถานะทางสังคมและเศรษฐกิจมาอยู่ร่วมกัน เรียนรู้กฎเกณฑ์ ยอมรับกันและกัน และยอมรับตัวตนของเพื่อนร่วมทีม เหมือนเวลาอยู่ในสนามฟุตบอลที่ไม่สนใจว่าใครเป็นใคร ทุกคนก็คือเล่นบอลด้วยกัน

มันคือภาพที่ได้เห็นจากการทำงานในฐานะผู้พัฒนาที่ดิน คุณแซมเปิดเผยถึงแรงบันดาลใจ ซึ่งเกิดจากแคมป์เด็กทำงานก่อสร้าง “เราเห็นว่าเด็กทำงานก่อสร้างบางคนไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ที่ปลอดภัยในการอยู่อาศัยเหมือนเด็กทั่วไป จึงได้เรียนรู้และร่วมมือกับ UNICEF ในเรื่อง “Child Protection” ซึ่งเป็นการทำงานเพื่อป้องกันการใช้แรงงานเด็ก และได้เรียนรู้ประเด็นต่าง ๆ ที่ UNICEF แบ่งปัน นอกเหนือจากเรื่องความเท่าเทียมที่มักพูดถึงในเวทีสนทนาต่างๆ นำมาขยายและต่อยอดไปสู่ประเด็นอื่นๆ ในสังคมด้วย

“เราไม่ได้สอนให้เด็กเก่ง แต่สอนให้ทุกคน เคารพและยอมรับกันและกัน รวมถึงมีความเข้าใจในความแตกต่างหลากหลาย นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่เราเริ่มสนใจเรื่องความหลากหลาย ความแตกต่าง และความไม่เท่าเทียมกันในสังคม เพราะเราได้เห็นภาพของเด็กบางคนที่มีพ่อแม่ขับรถยนต์หรูมาส่ง ในขณะที่บางคนนั่งรถสองแถว ซึ่งเป็นความจริงของสังคมที่มีความไม่เสมอภาคและความไม่ทัดเทียม”

 

การสร้างความเข้าใจจาก ภายในจุดเริ่มต้นเล็กๆ ต่อยอดสู่ภายนอก

อย่างที่กล่าวว่า “แสนสิริ” มีทิศทางของการสร้างความหลากหลายอย่างมั่นคง และจุดเริ่มต้นมิได้เกิดจากแค่แคมเปญการตลาดแล้วจบ แต่ค่อยๆ เริ่มสร้างอย่างมั่นคงทีละเสต็ป ซึ่งคุณแซมเล่าถึง ช่วงเวลาในการก่อร่างสร้างแนวคิดนี้ว่า เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ ภายในองค์กรเมื่อปี 2018 ที่เราเริ่มจากงานเลี้ยงสังสรรค์เล็ก ๆ ภายในกลุ่มพนักงานที่สำนักงานเก่าของแสนสิริ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการพูดคุยเรื่องความหลากหลายกับพนักงานในองค์กร เราจัดงานสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการ เพื่อสำรวจว่าพนักงานมีความประสงค์ที่จะมีส่วนร่วมมากน้อยเพียงใด ในตอนนั้นกิจกรรมยังคงเน้นไปที่ความบันเทิงและความสนุกสนานเป็นหลัก และพนักงานอาจยังไม่เข้าใจประเด็นเหล่านี้อย่างถ่องแท้

“แล้วเราพบว่าในปาร์ตี้เล็กๆ นั้นมีพนักงานที่กล้าเปิดเผยตัวตนและแสดงออกอย่างสบายใจในการทำกิจกรรมภายในองค์กร ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่พนักงานมองว่าองค์กรของเรามีความเปิดกว้างและยอมรับความแตกต่าง การที่พนักงานรู้สึกสบายใจที่จะเปิดเผยและแสดงความเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่นี้เรารู้สึกว่านี่คือจุดเริ่มต้นดีๆ ที่เกิดขึ้นในองค์กรแล้ว แล้วอาจจะเป็นจุดเล็กๆ ที่ต่อยอดไปสู่การทำเรื่องนี้นอกองค์กรได้”

การขยายความร่วมมือสู่ภายนอกและจับมือกับพันธมิตรอย่างมั่นคง  

หลังจากนั้น เราเริ่มขยับขยายแนวคิดออกไปสู่ภายนอกองค์กร โดยมีกิจกรรมและวาระเชิงสัญลักษณ์ที่ชัดเจนมากขึ้น รวมถึงการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรอย่างจริงจัง โดยในปี 2020

ในปี 2020 เราได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) เรื่อง “Standard for LGBTI Business” ซึ่งถือเป็นบริษัทไทยแห่งแรกที่ร่วมมือกับ UNRISD (United Nations Research Institute for Social Development) ในขณะนั้น พันธมิตรที่เราหารือด้วยนอกจาก UNRISD แล้วยังมี DTAC, Unilever, UNDP และแสนสิริการลงนามความร่วมมือในครั้งนี้เป็นช่วงเวลาประมาณ 2 ปี ซึ่งทำให้เราเข้าใจอะไรหลายอย่างมากขึ้น เนื่องจากเราได้พูดคุยกับ UNDP และมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับองค์กรอย่าง DTAC หรือ Unilever ซึ่งมีแนวปฏิบัติที่ดีกว่าเราในเรื่องความหลากหลายและเท่าเทียม

เรามองว่าการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และองค์ความรู้ระหว่างกันเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะประเด็นเหล่านี้มีความละเอียดอ่อน หากเราดำเนินงานโดยไม่มีความเข้าใจบริบทที่ชัดเจน หรือไม่มีการแลกเปลี่ยนความรู้จากผู้ที่เคยทำมาก่อน รวมถึงกรณีศึกษา จุดที่ผิดพลาด หรือประเด็นที่พนักงานนำไปปรับใช้ได้จริง เราก็คงไม่สามารถพัฒนาไปได้เร็วขนาดนี้ การได้พบปะและจับมือกับองค์กรระดับโลกต่างๆ เหล่านี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญและนำไปสู่สิ่งที่ยั่งยืนได้

การผลักดันพันธมิตรทางธุรกิจให้เข้าใจถึงความหลากหลายอย่างแท้จริง

เมื่อเรามีความเข้าใจมากขึ้น เราก็เริ่มตระหนักว่าการดำเนินงานภายในองค์กรเพียงอย่างเดียวอาจไม่ยั่งยืนในระยะยาว หากเรามีพันธมิตรทางธุรกิจจำนวนมาก เราทุกคนควรที่จะเริ่มต้นทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน นี่จึงเป็นแนวทางของบริษัทเราที่หลายสิ่งที่เราทำ เราชอบที่จะทำโครงการเล็ก ๆ ด้วยตัวเองก่อน หรือจับมือกับใครบางคนก่อน เพื่อพิสูจน์ว่าแนวคิดนั้นทำได้จริงและเข้าใจอย่างถ่องแท้

จากนั้น เราจะนำกรณีศึกษาที่เราทำไปเล่าและขยายความให้พันธมิตรของเราฟัง เพื่อเชิญชวนให้พวกเขาเข้ามามีส่วนร่วมและทำความเข้าใจมากขึ้น ตัวอย่างเช่น การร่วมมือกับธนาคารเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เพื่อสนับสนุนการปล่อยกู้สินเชื่อที่อยู่อาศัย ถึงแม้ในขณะนั้นกฎหมายเรื่องสมรสเท่าเทียมยังไม่ผ่าน แต่เรามองว่าในเชิงพาณิชย์ มีลูกค้ากลุ่มนี้จำนวนมากที่ประสบปัญหาไม่สามารถกู้ร่วมได้ เนื่องจากสถานะความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ได้รับการรับรองว่าเป็นคู่สมรส

เราจึงต้องทำงานร่วมกับธนาคารเพื่อหาแนวทางหรือกลไกที่สามารถช่วยเหลือกลุ่มคนเหล่านี้ได้ เพราะหากธนาคารสามารถทำได้ นั่นหมายความว่าคนกลุ่มนี้ก็จะมีทางออกในการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง และสามารถเข้าถึงความช่วยเหลือทางการเงินที่จำเป็นได้ ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า ธนาคาร หรือแม้แต่ตัวเราเอง

“มันคือโมเดลที่เราเริ่มขยับขยายและจับมือกับคนภายนอกเพื่อดำเนินงานอย่างจริงจัง ผมคิดว่าช่วงเวลาที่สำคัญและเป็นหลัก ๆ คือการที่เราได้จับมือกับ UNRISD และได้พูดคุยกับ Unilever และ Dtac รวมถึงการที่เราเริ่มขยับขยายความร่วมมือกับธนาคาร สิ่งเหล่านี้คือช่วงเวลาที่แนวคิดของเราเริ่มแพร่หลายออกไปอย่างกว้างขวางมากขึ้น”

ดำเนินการอย่าง “ยั่งยืน” ในแบบแสนสิริ

นอกเหนือจากการทำทั้งภายในองค์กร และการประสานงานกับภายนอกองค์กรสร้างพันธมิตรที่เข้มแข็งแล้ว สิ่งที่สำคัญที่ทำให้ “แสนสิริ” กลายเป็นต้นแบบขององค์กรแห่งการสร้างความหลากหลายและเท่าเทียม ก็คือการทำอย่างยั่งยืนและจริงแท้มาโดยตลอด โดยไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงแคมเปญการตลาดชั่วคราว แต่ฝังรากลึกอยู่ในทุกมิติการดำเนินงานขององค์กร

“องค์กรมีความเชื่อมั่นอย่างแท้จริงว่าทุกคนควรได้รับความเท่าเทียม และมุ่งมั่นที่จะเข้าไปช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างจริงจัง รวมถึงการรับพนักงานโดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างใดๆ ตราบใดที่สามารถปฏิบัติงานตาม Job Task ที่กำหนดได้”

นอกจากนี้ อีกสิ่งที่สำคัญคือ เรื่องของความเข้าใจและการเข้าถึง (Empathy and Accessibility) ซึ่งนับว่าเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความยั่งยืนคือ การทำความเข้าใจและเข้าถึงบริบทความต้องการของกลุ่มคนหลากหลายให้ได้มากที่สุด แม้ว่าในบางกลุ่ม เช่น ผู้ทุพพลภาพ องค์กรอาจใช้เวลาทำความเข้าใจช้ากว่า แต่เมื่อมีความเข้าใจที่เพียงพอ ก็จะเร่งสร้างสิ่งอำนวยความสะดวก (Accessibility) เพื่อให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเริ่มต้นจากจุดที่ทำได้และค่อยๆ พัฒนา องค์กรตระหนักว่าการเปลี่ยนแปลงต้องใช้เวลาและเริ่มต้นจากจุดที่สามารถทำได้ ตัวอย่างเช่น ในอดีต องค์กรอาจเริ่มต้นด้วยการจ้างงานผู้พิการในรูปแบบภายนอกผ่านมูลนิธิ เพื่อสนับสนุนให้พวกเขามีงานทำในพื้นที่ที่เดินทางสะดวก แต่เมื่อมีความเข้าใจและมั่นใจในความเป็นไปได้มากขึ้น ก็เริ่มจ้างพนักงานผู้พิการเข้ามาทำงานภายในองค์กรโดยตรง

“ในทุกมิติและทุกมุมมองของ “แสนสิริ” การดำเนินการด้านความเท่าเทียมและความหลากหลายจะต้องอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจ ไม่ใช่การฝืนทำในสิ่งที่ยังไม่พร้อม เพราะหากปราศจากความเข้าใจในความต้องการและบริบทของกลุ่มคนต่างๆ แล้ว การดำเนินการนั้นก็จะไม่ยั่งยืนและอาจสร้างความยากลำบากให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องได้” นี่คือหัวใจสำคัญที่สุด หากองค์กรใดองคกรหนึ่งจะดำเนินนโยบายเรื่องความหลากหลายและความเท่าเทียมให้ยั่งยืน

ปี 2025 กับ แคมเปญ ‘Just Don’t Judge’

สำหรับเดือน Pride Month ปี 2025 แสนสิริได้เปิดตัวแคมเปญ Just Don’t Judge” เพื่อขับเคลื่อนแนวคิดการ “หยุดตัดสิน” และหันมา “ทำความเข้าใจ” ซึ่งกันและกัน โดยมุ่งสร้างพื้นที่ที่ทุกคนสามารถเป็นตัวของตัวเองและพัฒนาศักยภาพได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ เพศสภาพ, ศักยภาพ หรือ สถานะทางสังคม โดยแสนสิริเชื่อว่า “ความเท่าเทียม” ไม่ใช่เพียงสิทธิหรือกฎหมาย แต่คือ “ความเข้าใจ – การไม่ตัดสิน” ที่ต้องร่วมกันสร้างให้เกิดขึ้นจริงในสังคมไทย

แสนสิริเน้นย้ำว่า การไม่ตัดสินกันจากภายนอกเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเพศสภาพที่ทุกคนมีสิทธิ์ได้รับการยอมรับและใช้ชีวิตอย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็นศักยภาพที่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ความสามารถตามขนบเดิมๆ แต่ทุกคนมีศักยภาพในแบบของตนเองที่ควรได้รับการสนับสนุน และไม่ว่าจะเป็นสถานะทางสังคมที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับทรัพย์สินหรือตำแหน่ง แต่คุณค่าของคนอยู่ที่สิ่งที่พวกเขาเป็น องค์กรเชื่อมั่นว่าการเคารพในตัวตนของกันและกันคือรากฐานของสังคมที่เท่าเทียมอย่างแท้จริง

แคมเปญ “Just Don’t Judge” ของแสนสิริไม่เพียงแต่เฉลิมฉลองการผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียมในประเทศไทย แต่ยังแสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะขยายขอบเขตความเท่าเทียมให้ครอบคลุมในทุกมิติ โดยตอกย้ำบทบาทของแสนสิริในฐานะองค์กรเอกชนและอสังหาริมทรัพย์รายเดียวที่ได้รับรางวัล Pride Value of Company’ สาขาธุรกิจ จาก Bangkok Pride Award 2025 ซึ่งสะท้อนถึงการส่งเสริมความเท่าเทียมและการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มาอย่างต่อเนื่องกว่า 10 ปี

 

ต้อง “พูดจริง ทำจริง” บทเรียนแสนล้ำค่าตลอดเวลา 10 ปี

เมื่อถามคุณแซมถึงสิ่งที่เรียนรู้ได้จากการทำเรื่อง “ความหลากหลายและความเท่าเทียม” (D&I – Diversity and Inclusion) มาอย่างต่อเนื่องตลอด 10 ปี คุณแซมบอกว่า ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา แสนสิริได้ให้ความสำคัญกับประเด็น D&I  มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสิ่งที่เรียนรู้เป็นบทเรียนอันล้ำค่า ที่สำคัญที่สุดคือการ “พูดจริง ทำจริง” หากองค์กรประกาศเจตนารมณ์ในการส่งเสริมความหลากหลายและความเท่าเทียมแล้ว ก็ต้องสามารถทำให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมได้จริง สิ่งนี้จะส่งผลเชิงบวก (positive impact) ทั้งต่อพนักงานภายในองค์กรและต่อภาพลักษณ์ของบริษัท การที่พนักงานรับรู้และเข้าใจว่าองค์กรยึดมั่นในหลักการนี้อย่างแท้จริง จะช่วยสร้างความภาคภูมิใจและทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยที่จะแสดงศักยภาพและความสามารถได้อย่างเต็มที่ โดยปราศจากข้อจำกัดหรืออคติใดๆ

นอกจากนี้ ในมิติทางธุรกิจ แสนสิริยังตระหนักดีว่าการขับเคลื่อนเรื่องความหลากหลายและความเท่าเทียมนั้นไม่สามารถทำได้เพียงลำพัง จำเป็นต้องอาศัยการ ร่วมมือกับพันธมิตร ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ การผนึกกำลังกับองค์กรที่มีองค์ความรู้เฉพาะทางจะช่วยให้สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างแท้จริง แต่ละพันธมิตรก็จะมีมุมมองและความสามารถที่แตกต่างกันไป บางเรื่องแสนสิริอาจทำได้เอง แต่บางเรื่องอาจต้องให้พันธมิตรเป็นผู้ดำเนินการ ตัวอย่างเช่น กรณีที่แสนสิริเล็งเห็นถึงกลุ่มลูกค้าที่เป็นคู่รักเพศเดียวกันซึ่งประสบปัญหาในการกู้ร่วมกับสถาบันการเงิน แสนสิริจึงได้ร่วมมือกับธนาคารเพื่อหาแนวทางแก้ไข ทำให้ลูกค้ากลุ่มนี้สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทั้งลูกค้าและองค์กรเอง การเรียนรู้ที่สำคัญจึงสรุปได้เป็นสองประเด็นหลักคือ การลงมือทำจริง และการสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนประเด็นนี้ให้ประสบความสำเร็จ

 

ในตอนท้าย สิ่งที่ คุณแซม ได้ย้ำกับเราถึงการทำเรื่องความหลากหลายและความเท่าเทียมในแบบ “แสนสิริ” ซึ่งถือเป็นโมเดลที่น่านำไปเป็นแบบอย่างให้กับองค์กรต่างๆ ได้ว่า การดำเนินนโยบายด้านความหลากหลายและความเท่าเทียมของ “แสนสิริ” สิ่งสำคัญคือการ ทำความเข้าใจในประเด็นที่ละเอียดอ่อนต่างๆ ด้วยความลึกซึ้งและรอบด้าน แสนสิริยึดมั่นในหลักการที่ว่า อย่าก้าวข้ามขั้น หรือเร่งรีบในการดำเนินการ เพราะเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำให้สำเร็จได้ในชั่วข้ามคืน แต่ต้องอาศัยการค่อยๆ เรียนรู้และลงมือทำไปทีละน้อย เนื่องจากแต่ละองค์กรมีบริบทและกลุ่มสังคมที่ต้องตอบสนองแตกต่างกัน การพยายามลอกเลียนแบบรูปแบบจากที่อื่นโดยไม่ปรับให้เข้ากับบริบทของตนเองอาจไม่ใช่แนวทางที่เหมาะสมที่สุด

องค์กรควรเรียนรู้ระหว่างทางและยอมรับว่าอาจมีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ แสนสิริเชื่อว่าการเริ่มต้นช้าแต่ทำอย่างจริงจังและต่อเนื่อง จะเป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงและทำให้หลักการเหล่านี้ฝังรากลึกอยู่ในวัฒนธรรมของบริษัทอย่างยั่งยืน ผู้บริโภคมีความชาญฉลาดเพียงพอที่จะรับรู้ถึงความจริงใจในการดำเนินงานขององค์กร

และอีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือ การแสวงหาองค์ความรู้และสร้างพันธมิตรภายนอก องค์กรไม่ควรกลัวที่จะเรียนรู้จากผู้ที่มีความเชี่ยวชาญมากกว่า แม้แสนสิริจะเป็นองค์กรในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่ก็ตระหนักดีว่าไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในทุกด้านที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายและความเท่าเทียม ดังนั้น การเปิดกว้างในการพูดคุยกับหลากหลายฝ่าย หน่วยงาน และองค์กร จะช่วยให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งที่สุด และสามารถตัดสินใจเลือกแนวทางที่เหมาะสมกับบริบทของแสนสิริมากที่สุดได้ โดยสรุปแล้ว หลักการสำคัญในการดำเนินนโยบายความหลากหลายและความเท่าเทียมของแสนสิริคือ การทำความเข้าใจอย่างแท้จริง การไม่เร่งรีบหรือก้าวกระโดด และการแสวงหาความรู้และพันธมิตรจากภายนอกนั่นเอง.


  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
pigabyte
การเรียนรู้ไม่มีวันจบสิ้น มาเรียนรู้และสนุกไปกับบทความ จาก MarketingOops! กันนะคะ แล้วเราจะได้ค้นพบว่าโลกของ Marketing นั้น So Sexy and Cool!