โลกธุรกิจทุกวันนี้ ถ้าเรา “รู้ก่อน” เราก็อาจจะ “ชนะ” และอยู่รอดในตลาดที่เปลี่ยนแปลงเร็วนี้ได้ แต่ถ้าเรา “รู้ช้า” เราอาจจะ “ตกขบวน” หรือถูก Disrupt ได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราต้องอัปเดตเทรนด์ในด้านต่างๆ ตลอดเวลา โดยเฉพาะการตามให้ทันว่าอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ที่อาจเป็นโอกาสให้กับธุรกิจของเราคืออะไร
ล่าสุดในงาน The Standard Economic Forum 2025 Thailand’s Next Frontier หนึ่งในเซสชันที่ได้รับความสนใจมากที่สุดก็คือ “Building Thailand’s Future Today: 5 Industries of the Future” จาก คุณ Melinda Good ผู้อำนวยการธนาคารโลกประจำประเทศไทยและเมียนมา ที่เปิดข้อมูล 5 อุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่จะเป็นเสาหลักสำคัญของเศรษฐกิจไทยในอนาคต ข้อมูลที่คนทำธุรกิจต้องรู้เอาไว้ โดย 5 อุตสาหกรรมที่ว่านั่นก็คือ
- Advanced & Green Manufacturing (การผลิตขั้นสูงและการผลิตสีเขียว)
- Digital Services (บริการดิจิทัล)
- Agribusiness (ธุรกิจการเกษตร)
- Sustainable & Health Tourism (การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ)
- The Creative Economy (เศรษฐกิจสร้างสรรค์)
คุณ Melinda อธิบายว่าโจทย์ใหญ่ของประเทศไทยวันนี้ก็คือเราอาจจะไปไม่ถึงเป้าหมาย “ประเทศรายได้สูง” ที่ตั้งเอาไว้ได้เพราะอัตราการเติบโตของเรายังต่ำกว่าเป้าหมายที่ 5% ดังนั้น ทางออกคือการโฟกัสทรัพยากรไปที่อุตสาหกรรมที่เราทำได้ดีและก็ยังเกาะไปกับ Megatrend ของโลก หากโฟกัสถูกต้องก็จะช่วยให้ไทยรอดจากการพลาดเป้าหมายที่ว่านี้ได้ ซึ่งแต่ละอุตสาหกรรมมีรายละเอียดอย่างไร Marekting Oops! สรุปมาให้โดยจะไล่ไปทีละเรื่อง
1. Advanced & Green Manufacturing

เทรนด์โลกเปลี่ยนไปสู่ Sustainability แล้วอย่างที่เราได้ยินกันมาซ้ำๆในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้นอุตสาหกรรม “Green Manufacturing” จึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ สิ่งนี้ยังเป็น “ทางรอด” และเป็น “ประตู” สู่ตลาดโลกด้วย
คุณ Melinda บอกว่า เหตุผลที่อุตสาหกรรมนี้สำคัญก็เพราะ “สินค้าที่เกี่ยวกับความยั่งยืน” (Green Goods) มีความต้องการพุ่งสูงแบบสุดๆ โดยคาดการณ์ว่าตลาด EV จะโต 5 เท่า และ อุตสาหกรรม “แผงโซลาร์เซลล์” จะโต 3 เท่า ภายในปี 2030
สำหรับประเทศไทย เรามีแต้มต่อสำคัญคือ การเป็นผู้นำส่งออก “แอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” และมีส่วนแบ่งตลาด “แผงโซลาร์” ถึง 4.2% ของโลกอยู่แล้ว นอกจากนี้ ไทยกำลังก้าวขึ้นเป็นฮับการผลิต EV และชิ้นส่วน EV ในภูมิภาค
โจทย์ใหญ่สำหรับธุรกิจในตอนนี้คือ การส่งออก “สินค้ายั่งยืนของไทย” ยังมีสัดส่วนเพียง 10% ของทั้งหมด ซึ่งถือว่ายังตามหลังคู่แข่งอยู่ SMEs จำเป็นต้องเร่งอัปเกรด Supply Chain ให้ตรวจสอบย้อนกลับได้ และ ลดคาร์บอนลงอีกเพื่อรักษาคู่ค้าระดับโลกไว้ให้ได้ และต้องพยายามเข้าถึง “Green Finance” หรือแหล่งเงินกู้สีเขียว ซึ่ง World Bank ก็กำลังร่วมมือกับไทยในการทำแพลตฟอร์ม “คาร์บอนเครดิต” (Carbon Credit Platform) เพื่อช่วย SMEs โดยเฉพาะอยู่ในตอนนี้
2. Digital Services

คุณ Melinda บอกว่า อุตสาหกรรมบริการดิจิทัลจะสร้าง “Wage Premium” หรือค่าตอบแทนที่สูงกว่าตลาดอย่างก้าวกระโดด อุตสาหกรรมนี้มีการเติบโตอย่างมากทั่วโลก โดยเฉพาะ Data ที่ถูกสร้างและจัดเก็บเพิ่มขึ้นถึง 90 เท่า ใน 10 ปีที่ผ่านมา และที่สำคัญคือ “งานดิจิทัล” ในไทย ให้ค่าตอบแทนสูงกว่า งานทั่วไปถึง 20-30% ด้วย
World Bank ให้ข้อมูลว่า ไทย “ควรจะเป็นผู้นำ” ในด้านนี้ เพราะเรามีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีระดับต้นๆในภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็น Mobile Broadband, PromptPay, Thai ID, E-commerce, E-wallets ส่วนการลงทุนใน Data Center ในไทยเองก็กำลังพุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง
โจทย์ใหญ่สำหรับธุรกิจจึงหนีไม่พ้นเรื่อง Skills Gap ที่เป็นปัญหาเร่งด่วน เพราะคนไทยมีทักษะดิจิทัลระดับกลางแค่ 5.1% และระดับสูงแค่ 1% เท่านั้น
ดังนั้นธุรกิจจึงต้องเร่งสร้างบริการเทคโนโลยีของตัวเองแล้ว “ส่งออก” เป็น “Thai Tech” อย่างเช่น Travel Tech หรือ Wellness Platform ที่เราทำได้ดี นอกจากนี้ การลงทุน Data Center ไม่ได้ต้องการแค่ที่ดิน แต่ต้องการ “พลังงานสะอาดที่เสถียร” และ “น้ำ” สำหรับการระบายความร้อนด้วย นี่คือโอกาสที่กว้างสำหรับธุรกิจในไทยมากๆ
3. Agribusiness

การเกษตรไม่ได้เป็นอุตสาหกรรมเก่าอีกต่อไปแล้ว เพราะคุณ Melinda บอกว่าสิ่งนี้จะเป็น “อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต”
คุณ Melinda ให้ข้อมูลว่า โลกกำลังเจอปัญหาอาหารขาดแคลนโดยจะมี food gap ถึง 56% ภายในปี 2050 และในขณะเดียวกัน ผู้บริโภคทั่วโลกยอมจ่ายให้แบรนด์อาหารที่ “ปลอดภัย, ตรวจสอบย้อนกลับได้ และเป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ” นี่จึงเป็นยุคใหม่ของ Smart Farming และ Smart Water
สำหรับไทยเอง World Bank มองว่าคือ “มหาอำนาจ” ด้านนี้อยู่แล้ว ภาคเกษตรและ Value Chain อุตสากรรมนี้ของไทยครองสัดส่วนถึง 23% ของ GDP และ 25% ของการจ้างงาน เราเป็นผู้ส่งออกหลักทั้ง ข้าว, ยางพารา, ไก่, ทูน่ากระป๋อง ไปจนถึงทุเรียน
โจทย์ใหญ่ประเทศไทย คือ Productivity ที่ยังต่ำมาก ผลผลิตต่อไร่น้อยกว่าค่าเฉลี่ยโลกและอาเซียน ธุรกิจจึงต้อง “ใช้มาตรฐานเป็นกลยุทธ์” และเร่งเชื่อมโยง “เกษตรกรรายย่อย” เข้าสู่ Value Chain ที่มีโครงสร้างชัดเจน เช่น มีระบบห้องเย็น, สัญญาการค้าที่ยุติธรรม และการรับรองมาตรฐาน อย่างถูกต้องด้วย
4. Sustainable & Health Tourism

การท่องเที่ยวของไทยต้องเปลี่ยนจากการเน้น “ปริมาณ” ไปสู่การเน้น “คุณภาพ” มากขึ้นและเอาสิ่งที่เราเก่งมากๆนั่นก็คือเรื่อง “สุขภาพ” เป็นตัวนำ
คุณ Melinda เล่าว่า ตลาดนักท่องเที่ยวในเอเชียแปซิฟิกจะโต 70% ภายในปี 2040 และเทรนด์นักท่องเที่ยวยุคใหม่ก็มีความต้องการ “Luxury, Personalization, และ Sustainability” อย่างชัดเจน
สำหรับประเทศไทยก็ได้เปรียบมหาศาล เพราะเราเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวอันดับ 2 ในเอเชียตะวันออก และอันดับ 10 ของโลก ซึ่งคุณ Melinda เน้นย้ำ ไทยสามารถเป็น “ฮับด้าน Health and Wellness ระดับโลก” ได้
โจทย์ใหญ่ที่ธุรกิจท่องเที่ยวต้องรู้คือ “ความยั่งยืน” ยังเป็นจุดอ่อนของเรา โดยไทยถูกจัดอันดับด้านนี้ที่อันดับ 73 เท่านั้นเอง ดังนั้นกลยุทธ์การตลาดและการบริการต้องหันไปเน้นที่ “นักท่องเที่ยวจ่ายเยอะแต่สร้างผลกระทบต่ำ” ให้มากขึ้น และต้องมีกลยุทธ์ในการ ขายประสบการณ์ Health & Wellness คู่กับวัฒนธรรมของไทยให้มากขึ้น
5. The Creative Economy

World Bank มองว่า Creative Economy ของไทยแข็งแกร่งในระดับที่สามารถ “ส่งออก” ได้ โดย คุณ Melinda ให้ข้อมูลว่า อุตสาหกรรมนี้มีมูลค่าตลาดสูงถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และสร้างงาน 50 ล้านตำแหน่งทั่วโลก
จุดแข็งของไทยที่ชัดเจนที่สุดคือ “Storytelling ของไทย” ที่ส่งออกได้ ซึ่ง World Bank ได้ยกตัวอย่างความสำเร็จของซีรีย์อย่าง “เด็กใหม่” และ “หลานม่า” ที่ดังไกลไปทั่วโลก
คุณ Melinda บอกว่าปัญหาในอุตสาหกรรมนี้ของไทยคือ “คนทำน้อย” การจ้างงานในอุตสาหกรรมมีเพียง 1.8% เท่านั้น ถ้าเทียบกับเกาหลีใต้ที่มีสัดส่วน 6.7% หรือสหรัฐฯ 6.7% ก็นับว่าน้อยกว่ามาก ภาครัฐและเอกชนจึงต้องช่วยกันสร้างไทยให้เป็น “Content Launch Pad” ให้ได้เช่น การทำ Fast-track permits เพื่อดึงกองถ่ายระดับโลกเข้าไทย และที่สำคัญคือต้อง “ส่งออก IP ของไทย” อย่างเป็นระบบ ไม่ใช่ปล่อยให้ดังเองตามธรรมชาติ
สร้าง “คน” และ “เมือง” เพื่อขับเคลื่อน 5 อุตสาหกรรม

คุณ Melinda ย้ำว่า 5 อุตสาหกรรมนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากขาด “ตัวเร่ง” 2 อย่าง ก็คือ การ “สร้างคน” และ “สร้างเมือง”
สำหรับการสร้างคน 3 แบบ ที่คุณ Melinda พูดถึงก็คือ
- The Digital Builder: ผู้สร้าง AI, Data, Cybersecurity
- The Green Maker: ผู้สร้าง EV, Solar และคนที่สามารถ “รับรอง” (Certify) การลดคาร์บอนในซัพพลายเชนได้
- The Experience Creator: ผู้เปลี่ยนวัฒนธรรม (อาหาร, หนัง, Wellness) ให้เป็นเรื่องราวทางเศรษฐกิจ คุณ Melinda ให้ข้อมูลว่า กุญแจสำคัญคือ ไม่ต้องรอ 4 ปีในมหาวิทยาลัย แต่ต้องใช้ “ทางลัด” เช่น หลักสูตรฝึกงานที่นายจ้างกำหนด รวมถึง การเก็บใบรับรองทักษะย่อยๆ
อีกเรื่องที่คุณ Melinda พูดถึงก็คือการสร้างเมืองนอกกรุงเทพฯ เพราะอุตสาหกรรมแห่งอนาคตต้องการ “เมืองที่พร้อม” ที่ไม่ใช่แค่กรุงเทพฯ หรือ EEC โดย World Bank ชี้เป้าไปที่ เชียงใหม่, ขอนแก่น, หาดใหญ่ “เมือง” เหล่านี้จำเป็นต้องมีครบทั้ง พลังงานสะอาด, อินเทอร์เน็ตเร็ว, ขนส่งดี, ระบบการให้ใบอนุญาตที่เป็นธรรม และน่าอยู่ ซึ่งการสร้างเมืองแบบนี้เป้าหมายก็คือ “คนเก่งต้องไม่ย้ายออก” และ “การกระจายโอกาสไปทั่วประเทศ”

