คุณอาจเคยอ่านชีวประวัติของนักธุรกิจหรือคนดังทั่วโลก ว่าหลายๆ ความสำเร็จที่พวกเขาสร้างประวัติศาสตร์เปลี่ยนโลกนั้น ล้วนเกิดขึ้นจากความล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วน และหากเปรียบเส้นทางสู่ความสำเร็จเป็นกีฬาวิ่ง เชื่อว่าหลายคนอาจไม่เคยออกวิ่งซักครั้ง ด้วยเหตุผลต่างๆ เช่น ยังไม่มีรองเท้าวิ่งคุณภาพดีๆ ยังไม่มีโอกาส หรือแม้แต่…ไม่มีใครให้คำแนะนำ แต่สำหรับ “ธนากร ธนวริทธิ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เขาเปรียบได้กับนักวิ่งที่ขยันฝึกซ้อมอย่างไม่ยอมแพ้ แม้ยังไม่เคยได้สัมผัสรองเท้าวิ่งซักครั้งในชีวิต!
สาเหตุที่เรายกให้เขาเป็นยอดนักวิ่ง เพราะ…เส้นทางสู่ความสำเร็จ ในฐานะ CEO บริษัทอสังหาฯ ที่มีมูลค่าโครงการไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท ทั้งที่เพิ่งดำเนินธุรกิจได้เพียง 3 ปี และยังคว้ารางวัล RISING STAR OF THE YEAR AWARD จากงาน Thailand Top Company Awards 2018 มาการันตีความสำเร็จว่าเป็นองค์กรที่ดำเนินธุรกิจไม่นาน แต่มียอดขายและกำไรเติบโตอย่างโดดเด่นแห่งปี ชายผู้นี้เริ่มต้นด้วยหนึ่งสมองและสองมือ กับเป้าหมายที่มุ่งมั่นตั้งแต่เยาว์วัยว่า “อยากรวย”
“ผมไม่อายที่จะบอกว่าความสำเร็จในวันนี้เริ่มต้นจากชีวิตที่ติดลบมาตั้งแต่เด็ก ตอนเด็กผมมีความฝันเดียว คือหาเงินให้ได้มากๆ เพื่อเลี้ยงดูแม่และครอบครัวให้สุขสบาย แต่มาถึงวันนี้ฝันผมเปลี่ยนสู่การนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ ทำธุรกิจแบบแมส พรีเมี่ยม เพื่อตอบโจทย์และสร้างความพึงพอใจแก่ผู้บริโภค” CEO แห่ง All Inspire กล่าวในสิ่งที่เราไม่คิดว่าได้ยินจากเขา และยังเปิดเผยเส้นทางสู่ความสำเร็จ ว่า…
ต้นทุนเป็นศูนย์ แต่ไม่หยุดพยายาม!
คุณธนากร เล่าอีกว่า อยากให้ทุกคนเปลี่ยนความคิด อย่ามองว่าคนที่ประสบความสำเร็จทุกคนจะต้องมีต้นทุนสูงมาจากครอบครัวปูทางไว้ให้ ต้องร่ำรวยมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ผมเป็นหนึ่งคนที่ไม่มีต้นทุนอะไรติดตัว เป็นเด็กอุดรธานีที่ต้องหยุดเรียนหนังสือหลังจบ ป.6 เพราะพ่อเสีย ครอบครัวตกอยู่ในสภาพยากลำบาก แม่ต้องขายของทุกอย่างในบ้านเท่าที่จะขายได้เพื่อส่งเสียพี่ชายให้ได้เรียนต่อ ส่วนผมต้องหยุดเรียนไป 1 ปี ทั้งที่ใจรักเรียนและอยากเรียนต่ออย่างที่สุด
“ครอบครัวเรามีอาชีพตกทอด คือ ทำขนมจีน แม้จะเสียใจที่ไม่ได้เรียนต่อ ไม่ได้ไปเที่ยวเล่นกับเพื่อน แต่ผมก็ช่วยแม่ทำขนมจีนขายทุกวัน ร้องไห้โทษโชคชะตาแค่ไหนผมก็ทำหน้าที่นั้นทุกวัน เพราะเห็นสภาพความเป็นอยู่ที่ยากแค้น มีคนมายืนทวงหนี้ไม่เคยขาด นั่นทำให้ผมปฏิญาณกับตัวเองว่าเมื่อโตขึ้นเราต้องรวย กระทั่งได้เรียนต่อจบ ม.6 ก็เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ เพราะหวังว่ากรุงเทพฯ จะมีโอกาสรอเราอยู่ เดินทางมากับกระเป๋าใบเดียว ใช้ชีวิตอยู่ในชุมชนแออัด คิดแค่ว่าต้องหางานทำและต้องเป็นงานที่มีข้าวให้กินฟรีจะได้ประหยัด เลยเลือกสมัครงานโรงแรม”
งานแรกที่สมัครคือตำแหน่ง รปภ. ซึ่งถือเป็นโชคดีที่เขาไม่รับเพราะอายุยังน้อย จึงได้เริ่มต้นงานโรงแรมในตำแหน่งพนักงานล้างจาน ได้เงินเดือนงานแรก 2,800 บาท ก็ส่งเงินทั้งหมดกลับบ้านเพื่อให้แม่ แล้วผมก็เลือกทำงานเสริม ช่วยเสิร์ฟเครื่องดื่มในงานแต่งงานได้ค่าจ้างวันละ 100 บาท ส่วนนี้ก็เก็บไว้กินไว้ใช้ส่วนตัว ประกอบกับนิสัยส่วนตัวเป็นคนขยัน ชอบช่วยเหลือคนอื่น ก่อนเข้างานจึงมักไปช่วยงานในครัวเสมอ ทั้งล้างทั้งเตรียมของสด หั่นผัก ก็ช่วยทำได้หมดไม่มีเกี่ยง
จากนั้นเหมือนชีวิตได้ก้าวกระโดด เมื่อมีคนเห็นว่าพูดภาษาอังกฤษพอได้ ถือเป็นโชคดีที่ชอบเรียนรู้ภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็ก จึงได้ขยับตำแหน่งเป็นพนักงานเสิร์ฟมีเงินทิปจากลูกค้า เริ่มมีเวลาเข้างานเป็นระบบ ทำงานช่วง 21.00 น. ถึง 6.00 น. เลยตัดสินใจเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง เลือกคณะบริหารจัดการ ตอนนั้นคิดแค่ว่าเรียนคณะอะไรก็ได้ที่จบไวและได้มีวุฒิปริญญาตรีติดตัวเพื่อใช้หางานทำ ซึ่งผมไม่ใช่คนเรียนเก่งผลการเรียนจัดอยู่ระดับกลางๆ แต่เป็นคนขยัน ไม่กลัวการทำงานหนัก ระหว่างเรียนก็ยังทำงานโรงแรมอยู่ตลอดแต่ได้รับโอกาสปรับตำแหน่งงานให้สูงขึ้นเรื่อยๆ จากทักษะภาษาอังกฤษที่มี
ก้าวสู่เส้นทาง Retail สั่งสมประสบการณ์
หลังจากเติบโตและเริ่มมีความมั่นคง ก็มีโอกาสเข้าสู่สายงานด้านรีเทล ได้เข้าทำงานในตำแหน่ง Supervisor บริษัทกาแฟระดับโลกที่คนไทยชื่นชอบ เก็บเกี่ยวประสบการณ์อยู่ราว 8 ปี จากนั้นก็มีโอกาสย้ายงานไปยังธุรกิจรีเทลอีกหลายแบรนด์ ทั้งแบรนด์ฟาสต์ฟู้ด, โอเปอเรเตอร์มือถือ, ร้านกาแฟชื่อดังของคนไทย และเจ้าตลาดค้าปลีกรายใหญ่ทั่วประเทศ
“แม้ว่าตอนเด็กจะคิดว่าการย้ายงานบ่อยคือการเพิ่มเงินเดือนให้ตัวเอง แต่ทุกงานที่ผมทำ ผมตั้งเป้าหมายไว้สูงกว่าคนอื่นเสมอและพยายามทำให้สำเร็จ ให้ความสำคัญกับคำว่า Passion และ Ownership ทำงานแบบเป็น Leader ไม่ต้องให้เจ้านายมาคอยบอกหรือคอยถามตลอดเวลาว่ากำลังทำอะไรถึงไหน ซึ่งเป็นความโชคดีอีกประการของผม คือ ทุกงานมักได้มีโอกาสเรียนรู้งานในต่างประเทศเสมอ ไม่ว่าระยะสั้นหรือยาวก็ตาม ทำให้สามารถได้เห็น ได้เรียนรู้ ได้ศึกษาประสบการณ์มากมาย”
จากพนักงานประจำ พลิกบทบาทสู่นักลงทุนอสังหาฯ
อาจเป็นโชคดีที่ได้งานตำแหน่งดี องค์กรดี ทำให้สามารถเก็บเงินตั้งตัวได้เร็ว อายุยังไม่ถึง 30 ปี ก็มีเงินเดือนเกือบ 300,000 บาท พอเริ่มมีเงินก็ซื้อบ้านหลังแรกเป็นของตัวเองซึ่งตัดสินใจซื้อเท่าที่มีงบประมาณ และเมื่อมีเงินทุนมากขึ้นก็เริ่มมองเห็นโอกาสจากการลงทุนอสังหาฯ เพื่อปล่อยเช่าแก่ชาวต่างชาติ เน้นเป็นบ้าน คอนโด ทำเลใกล้โรงเรียน ตอบโจทย์ชาวต่างชาติที่นิยมให้ลูกหลานใช้เวลาน้อยที่สุดในการเดินทางไปโรงเรียน
“จุดเริ่มต้นสู่ธุรกิจอสังหาฯ น่าจะเป็นเรื่องนี้ ผมคิดไม่เหมือนคนไทยส่วนใหญ่ที่มองหาบ้านหรือเปลี่ยนเพื่อขยับขยายไว้อยู่อาศัยเอง แต่ผมมองหาบ้านเพื่อลงทุน เริ่มต้นจากคอนโด บ้าน ทำเลในเมือง และเลือกสิ่งที่ดีที่สุดเหมือนเลือกให้กับตัวเองแม้จะเป็นการลงทุน ทำให้มีเงินงอกเงยขึ้นจากผลตอบแทนในการลงทุนส่วนนี้ เมื่อนำประสบการณ์การทำงานสายรีเทล รวมถึงชีวิตที่เคยอยู่บ้านเช่า อพาร์ทเม้นท์ ทาวน์เฮ้าส์ คอนโด และบ้านเดี่ยว ครบทุกรูปแบบ ทำให้เราเห็นว่ากรุงเทพฯ ยังเป็นเมืองหลวงที่มีผู้คนหนาแน่น กว่า 80% ใช้ชีวิตอยู่ประจำ และอีก 20% ไป-กลับภูมิลำเนา แต่สิ่งที่คนส่วนใหญ่ต้องการคือความสะดวกสบาย ต้องการใช้ชีวิตแบบตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ตนเองได้ กลายเป็นแนวคิดของ All Inspire ที่ต้องการตอบโจทย์ทั้งเรื่องแบรนด์ดิ้งและความเป็นแมสพรีเมี่ยม คือ เข้าใจความจำเป็นเรื่องงบประมาณและมอบแวลูเพื่อสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้าได้พร้อมกัน”
เคยอาศัยฟู้ดคอร์ทเป็นห้องประชุม!
ช่วงเริ่มต้นธุรกิจ ผมใช้วิธีประชุมกับลูกน้องตามศูนย์อาหารห้างสรรพสินค้า พอถึงเวลานัดก็แจกคูปองให้ใช้ซื้ออาหารมานั่งกินไปคุยงานกันไป เริ่มต้นกับทีมงานไม่ถึง 10 คน ปัจจุบัน All Inspire ก่อตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2013 มีพนักงานทั้งหมด 150 คน ซึ่งเราย้ายสำนักงานมาอยู่ที่ชั้น 18 ของอาคารภิรัช ทาวเวอร์ แอท ไบเทคบางนา มีพื้นที่มากกว่า 1,800 ตร.ม. และมีแผนจะขยายพื้นที่เพิ่มเติมไปยังชั้น 19 เพื่อพัฒนาเป็นพื้นที่ใช้สอยเพิ่มเติม เพราะเราอยากสร้าง Engagement ให้ทั้งลูกค้าและบุคลากร เราตกแต่งสถานที่อย่างสวยงาม มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในการทำงานอย่างครบครัน มีมุมพักผ่อนและให้ความบันเทิงแก่บุคลากร หรือแม้แต่การนำเทคโนโลยีที่ดีที่สุดมาใช้กับการจองห้องประชุมภายในบริษัท
ตั้งเป้า 5 ปีเข้าตลาดหลักทรัพย์
นอกจากความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจ การนำบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ก็ถือเป็นการสร้างความมั่นคงให้บริษัท บุคลากร และนักลงทุน ทั้งยังช่วยการันตีถึงความสำเร็จขององค์กรด้วย บริษัทจึงตั้งเป้าหมายจดทะเบียนเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ภายในปีนี้
“ประสบการณ์การทำงานตลอด 20 กว่าปี สอนให้ผมรู้ว่าความสำเร็จเกิดจากวิธีคิด การทำธุรกิจเกี่ยวกับคอนซูเมอร์ต้องมองความต้องการของพวกเขาให้ออก และตอบโจทย์ให้ตรงตามความต้องการ ถึงจะทำธุรกิจขายที่อยู่อาศัยแต่เรามองมากกว่านั้น ไม่ใช่การขายอิฐขายปูนแต่เป็นการมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดในเรื่องที่อยู่อาศัย”
All Inspire ชื่อนี้ แมส และ พรีเมี่ยม
อย่างที่บอกไปแล้วว่า All Inspire มีแนวคิดทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบแมสพรีเมี่ยม เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่ยังคงนิยมการกู้ซื้อสังหา และกว่า 50% คือ คนทำงานที่มีรายได้ตั้งแต่ 25,000-50,000 บาท ดังนั้น เราจึงเลือกตอบโจทย์ความต้องการของคนกลุ่มดังกล่าวที่เป็น แมส คนกลุ่มใหญ่ โดยมีการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ The Excel และ Rise ไปแล้วกว่า 11 โครงการ และคาดว่าจะเปิดเพิ่มเติมในปีนี้อีกราว 7 โครงการซึ่งไตรมาส 1 เราก็เปิดตัวโครวการไปแล้ว 2 โครงการ หนึ่งในนั้น เป็นโครงการ Luxury Villa Phuket ภายใต้แบรนด์ Impression และ The Excel Ratchada – Hui Khwang ซึ่งโครงการทั้งหมดของ All Inspire จะตอบโจทย์เรื่องทำเลในเมือง โลเคชั่นที่ผู้คนคุ้นเคย และจากความเชี่ยวชาญในธุรกิจรีเทลก็ทำให้เราเข้าถึงโอกาสได้มากกว่าคู่แข่ง
ส่วนการแข่งขันในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ เชื่อว่าความแตกต่างที่สร้างความได้เปรียบกับเราคือ เราสามารถเลือกและลงทุนที่ดินได้ในราคาดีกว่ารายอื่น ส่วนงบประมาณการก่อสร้างเชื่อว่าไม่แตกต่างกันมาก ขณะเดียวกันเราก็ให้ความสำคัญกับเรื่องดีไซน์และการสร้างความภาคภูมิใจแก่ผู้อยู่อาศัยในทุกๆ โครงการ All Inspire พื้นที่ส่วนกลางก็ต้องสามารถตอบโจทย์การใช้ได้เต็มที่และลงตัว พร้อมด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อการใช้งาน ภายใต้ราคาที่เราทำให้ลูกค้าหลักอย่างกลุ่มคนทำงานสามารถจับต้องได้ ตั้งแต่ 1.59-3 ล้านบาท
ทั้งยังมีสิทธิพิเศษแก่ลูกบ้าน อาทิ กิจกรรมพิเศษ, เลานจ์ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอนเพื่อให้บริการลูกบ้าน, ห้องตัวอย่างมูลค่ากว่า 22 ล้านบาท ซึ่งลงทุนเต็มรูปแบบทั้งการดีไซน์และเทคโนโลยี ที่สุขุมวิท 69เป็นต้น ซึ่งผู้สนใจสามารถชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.allinspire.co.th
เจาะกำลังซื้อลูกค้าต่างชาติ สร้างกระแสเงินสดให้ธุรกิจ
โครงการทั้งหมดของ All Inspire สัดส่วนราว 40% เป็นลูกค้าชาวต่างชาติ ซึ่งการขายอสังหาริมทรัพย์แก่ชาวต่างชาตินั้น เรามีบริษัท ไทย ดี เรียลเอสเตท จำกัด (THAI D Real Estate) เพื่อแนะนำการขายแก่กลุ่มลูกค้าต่างชาติ ที่สามารถเก็บเงินดาวน์ได้ 30% ทำให้บริษัทมีข้อได้เปรียบด้านเงินลงทุนที่ดิน
หวังปั้น All Inspire ขวัญใจมนุษย์เงินเดือน
ความสำเร็จของเรา คือ การเข้าใจคอนซูเมอร์ในเชิงลึก ทั้งเรื่องทำเล ฟังก์ชั่นการใช้ห้อง สิทธิประโยชน์ กิจกรรม รวมถึงราคาที่อยู่ในงบประมาณแต่ยังสามารถตอบโจทย์ความพรีเมี่ยมได้ จึงมั่นใจว่าหากเปรียบเทียบกับคู่แข่งระดับเดียวกัน เราสามารถเข้าใจและให้ลูกค้าได้มากกว่า ทำให้ All Inspire สามารถครองใจลูกค้ากลุ่มคนทำงานให้ตัดสินใจเลือกซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองถึง 95% ซึ่งหลายโครงการที่ผ่านมาเราสามารถขายได้หมดหรือ 70% ภายในวันเดียว
“ความท้าทายของธุรกิจอสังหาคือราคาที่ดินซึ่งแพงขึ้นตลอดเวลา และสภาพเศรษฐกิจที่เราไม่สามารถควบคุมได้ แต่เชื่อว่าที่อยู่อาศัยจะยังเป็นปัจจัย 4 ของมนุษย์ ขณะที่ความสำคัญของรถยนต์จะน้อยลงเนื่องจากระบบคมนาคมครอบคลุมและสะดวกขึ้น ประกอบกับราคาอสังหาริมทรัพย์ในไทยนั้นถือว่าราคาถูกมากเมื่อเทียบกับหลายประเทศ ทั้งยังเป็นเมืองท่องเที่ยว เราจึงมั่นใจว่าลูกค้าชาวต่างชาติจะยังเลือกซื้ออสังหาในไทย”
ใส่ใจทุกรายละเอียดลูกบ้าน
All Inspire ให้ความสำคัญกับทุกรายละเอียดการอยู่อาศัย นอกจากทำเลที่ตั้งเรายังเน้นตอบสนองประสบการณ์การใช้ชีวิตทุกส่วน เรียกว่ามอบคุณภาพทั้งการอยู่อาศัย ขายต่อ หรือปล่อยเช่า ไม่ว่าลูกค้าจะเลือกซื้อโครงการของเราเพื่อวัตถุประสงค์ใดก็จะไม่คำว่าผิดหวัง เพราะคอนเซปต์ของบริษัทคือมอบการใช้ชีวิตแบบมีระดับในแบบที่ลูกค้าเลือกได้และมั่นใจที่จะเลือกเรา สะท้อนถึงชีวิตที่มีระดับและตอบไลฟ์สไตล์ของคุณได้ตรงใจ
รายได้เติบโตก้าวกระโดด หวังปีนี้แตะ 5,000 ล้านบาท
แม้เราจะเป็นบริษัทอสังหารายเล็ก แต่รายได้เติบโตต่อเนื่องทุกปี ตั้งแต่ปี 2015 บริษัทมีรายได้ 109 ล้านบาท ปี 2016 รายได้ 421 ล้านบาท และปี 2017 รายได้อยู่ที่ 715 ล้านบาท ส่วนในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งที่กล่าวมานี้เรามีโครงการที่รอการรับรู้รายได้ (แบ็กล็อก) ไม่ต่ำกว่า 7,500 ล้านบาท รวมถึงมูลค่าโครงการที่จะเปิดตัวใหม่อีกไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท
ปักธงติด 1 ใน 5 กลุ่มผู้นำธุรกิจอสังหาไทย
“หลังจาก All Inspire สามารถเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้แล้ว ภายใน 3 ปีจากนั้นเราหวังขึ้นเป็น 1 ใน 5 ผู้นำธุรกิจอสังหา ด้วยความมั่นใจในกลยุทธ์และการดำเนินธุรกิจในรูปแบบแมสพรีเมี่ยม นอกจากนี้ เรายังวางแผน Collaboration ขยายความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์แบบข้ามอุตสาหกรรมเพื่อสร้างสีสันใหม่ๆ ให้อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ของไทยด้วย”
