โลกการตลาดยุคใหม่ การสร้างแรงความสนใจให้ผู้บริโภคสนใจสินค้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่หรือทำให้ผลิตภัณฑ์ดูหรูหรามากขึ้นเสมอไป แต่สิ่งที่สร้างพลังให้แบรนด์โดดเด่นได้บ่อยครั้งกลับเป็นการหาศัตรูหรือ “ตัวร้าย” ที่แท้จริงของผู้บริโภค โดยการเล่าเรื่องโดยมีตัวร้ายชัดเจนทำให้สินค้ากลายเป็นพระเอกที่ขาดไม่ได้ และนี่คือสิ่งที่หลายแบรนด์มองข้ามไป
ลองนึกถึงภาพยนตร์หลาย ๆ เรื่องความโดดเด่นไม่ได้อยู่ที่ปืน ชุดหรือยาน รถของพระเอก แต่เกิดจากการมีวายร้ายอย่างที่น่าสนใจ ผู้ชมไม่ได้เชียร์พระเอกเพราะสมบูรณ์แบบ แต่เพราะมีศัตรูที่ชัดเจนจนทำให้คนดูรู้สึกว่าใครสักคนต้องลุกขึ้นมาปกป้อง เมื่อปรับมาสู่โลกการตลาด แนวคิดนี้สะท้อนชัดว่า ลูกค้าไม่ได้มองหาฮีโร่หากพวกเขาไม่รู้สึกว่ากำลังต่อสู้กับปัญหาใด การหาตัวร้ายที่ถูกต้องจึงสร้างแรงเร่งด่วนและทำให้สินค้ากลายเป็นสิ่งจำเป็น
หลายกรณี ปัญหาไม่ได้อยู่ที่คุณภาพของผลิตภัณฑ์ แต่เกิดจากการเล่าเรื่องที่ไม่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกถึงภัยอันตรายหรือความไม่สบายใจที่ต้องการหนีห่าง เช่น สินค้าดูแลผิวสำหรับผู้ชายที่พูดถึงคุณสมบัติ “ลดความมัน” หรือ “มีสารสกัดลดสิว” ซึ่งฟังดูดีมากในเชิงวิทยาศาสตร์ แต่กลับไม่สร้างแรงจูงใจให้ซื้อจริง ๆ เมื่อแบรนด์หันมาเรียกชื่อปัญหานี้ใหม่ว่า “ใบหน้าที่ดูเหนื่อย หมองหลังจากการทำงานมาทั้งวัน” หรือ “ความมันที่ทำให้เสียความมั่นใจเวลาเข้าประชุมหรือออกเดท” สินค้าชิ้นเดิมกลับถูกมองว่าเป็นสินค้าที่จะกันจากปัญหาต่างว ๆ ที่คนส่วนใหญ่เผชิญอยู่โดยไม่รู้ตัว
นี่คือเหตุผลที่การนิยามศัตรูสำคัญกว่าการอธิบายคุณสมบัติของสินค้า ฟีเจอร์เพียงสร้างความเข้าใจ แต่การชี้ให้เห็นศัตรูจะสร้างความรู้สึกต้องการทันที ผู้บริโภคไม่เพียงอยากได้วิธีแก้ไข แต่ยังอยากมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้สามารถโทษหรือต่อต้านได้โดยไม่รู้สึกผิด เพราะมนุษย์ไม่ได้แสวงหาแค่ “ทางออก” แต่ยังมองหาความโล่งใจจากการรู้ว่าปัญหาที่เผชิญไม่ใช่ความผิดของตนเอง หากแบรนด์สามารถบอกได้ว่า “มันไม่ใช่ความผิดของคุณ แต่เป็นเพราะสิ่งนี้” ลูกค้าจะรู้สึกเหมือนมีคนยืนอยู่ข้าง ๆ และพร้อมจะยอมรับสินค้าคุณในฐานะพันธมิตร
สิ่งที่น่าสนใจคือ วายร้ายในเชิงการตลาดไม่จำเป็นต้องใหญ่โตหรือเลวร้ายแบบการ์ตูน มันอาจเป็นเรื่องเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวันที่คนเงียบ ๆ ปรับตัวหนี เช่น เก้าอี้ที่ไม่กล้านั่ง เสื้อที่ไม่กล้าใส่ หรือรอยยิ้มที่ไม่กล้าเผยเพราะกังวลใจ หากแบรนด์สามารถหยิบสิ่งเล็กเหล่านี้ขึ้นมาตั้งชื่อและทำให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์คือทางออก ความหมายของสินค้าจะขยายเกินกว่าคุณสมบัติพื้นฐาน กลายเป็นตัวช่วยที่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าตนเองกลับมาควบคุมสถานการณ์ได้
อย่างไรก็ตาม การสร้างวายร้ายไม่ได้หมายความว่าต้องใช้ความหวาดกลัวเป็นแกนหลัก แต่คือการทำให้ปัญหานั้นปฏิเสธไม่ได้และใกล้ชิดกับชีวิตจริงมากพอ การตลาดที่ดีไม่ใช่แค่กระตุ้นความเร่งด่วนให้ซื้อครั้งแรก แต่ยังต้องสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์ให้ผู้บริโภครู้สึกว่าพวกเขาได้รับการปกป้อง ได้รับการยอมรับ และได้ก้าวเข้าสู่โลกที่ดีขึ้นโดยมีแบรนด์อยู่เคียงข้าง
เมื่อมองลึกลงไป จะพบว่าศัตรูที่ถูกกำหนดไว้ ไม่ได้เพียงเร่งการตัดสินใจซื้อ แต่ยังสร้างความจงรักภักดีในระยะยาว เพราะหลังจากปัญหาถูกชี้ชัดแล้ว ผู้บริโภคจะมองหาสิ่งที่แบรนด์ยืนหยัดอยู่เพื่อโลกที่ไร้ศัตรูนั่น เช่นเดียวกับที่ผู้ชมติดตามฮีโร่ในจักรวาลภาพยนตร์ไม่ใช่เพราะตัวร้าย แต่เพราะคุณค่าที่ฮีโร่เป็นตัวแทน
ดังนั้น การตลาดที่ทรงพลังไม่จำเป็นต้องมีข้อความดังขึ้นเรื่อย ๆ แต่ต้องมีศัตรูที่ชัดเจนพอให้ผู้บริโภครู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้ต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว คำถามสำคัญคือ แบรนด์ของคุณเจอ “ตัวร้าย” แล้วหรือยัง และคุณพร้อมที่จะยืนอยู่เคียงข้างลูกค้าในการเอาชนะมันหรือไม่