อนาคตดุสิตธานีจะเป็นอย่างไร? เมื่อคุณศุภจี ซีอีโอ ส่งไม้ต่อ คุณชนินทธ์ ไปรับตำแหน่งรมว.พาณิชย์

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

เมื่อวันที่ 12 กันยายน คุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ CEO หญิงแกร่งแห่ง บมจ.ดุสิตธานี หรือ DUSIT แถลงประกาศพักบทบาทแม่ทัพใหญ่อย่างเป็นทางการ เพื่อเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เรื่องที่น่าสนใจคือ การประกาศนี้เกิดขึ้นท่ามกลางพายุความขัดแย้ง “ศึกสายเลือด” ภายในกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ ที่กำลังเดือดสุดๆ และเกิดขึ้นก่อนการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ที่มีวาระสำคัญคือการ “ถอดถอน” ประธานกรรมการในวันที่ 26 กันยายนนี้ เพียง 2 สัปดาห์

นี่คือช่วงเวลาที่ CEO มืออาชีพ ตัดสินใจวางมือไปรับใช้ชาติในตำแหน่งรัฐมนตรี คำถามก็คือและก้าวเดินต่อไปของ “ดุสิตธานี” จะเป็นอย่างไร Marketing Oops! สรุปมาให้อ่านกันแบบเข้าใจง่ายๆ ที่นี่

ย้อนรอย “พายุ” ที่ดุสิตธานีต้องเจอ

ก่อนจะไปถึงการประกาศของคุณศุภจี ต้องย้อนกลับไปดูสถานการณ์ที่ดุสิตธานีกำลังเผชิญอยู่ก่อนหน้านี้ ซึ่งเปรียบได้กับการเจอพายุพร้อมกันหลายลูก

การเดิมพันครั้งประวัติศาสตร์ 

“พายุลูกแรก” ก็คือการตัดสินใจ “ทุบ” โรงแรมดุสิตธานีเดิมที่เป็นตำนานทิ้งไป เพื่อสร้างโครงการ Mixed-use “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” ด้วยมูลค่าสูงถึง 46,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการลงทุนที่ใหญ่กว่าทุนจดทะเบียนของบริษัทหลายเท่าตัว

“วิกฤตการณ์โควิด-19”

เป็นพายุลูกใหญ่ที่พัดเข้ามาซ้ำเติม ทำให้การก่อสร้างต้องหยุดชะงัก และธุรกิจโรงแรมที่เป็นรายได้หลักต้องหยุดหายใจไปเกือบ 2 ปี ท่ามกลางวิกฤต บริษัทตัดสินใจครั้งสำคัญคือจะ “ไม่เพิ่มทุน” แต่เลือกใชิธีการกู้ยืมแทน ซึ่งต้องแลกมากับการแบกรับภาระดอกเบี้ยมหาศาล

และนี่เองคือที่มาของตัวเลข “ขาดทุน” ที่เราเห็นในงบการเงินตลอด 5 ปีที่ผ่านมา

  • ปี 2563: ขาดทุน 1,011 ล้านบาท
  • ปี 2564: ขาดทุน 945 ล้านบาท
  • ปี 2565: ขาดทุน 501 ล้านบาท
  • ปี 2566: ขาดทุน 570 ล้านบาท
  • ปี 2567: ขาดทุน 237 ล้านบาท

แต่ถ้าเรามองให้ลึกลงไปใต้ภูเขาน้ำแข็งของตัวเลขขาดทุนนั้น เราจะเห็นศักยภาพที่ซ่อนอยู่และกราฟรายได้ที่พุ่งทะยานสวนทางกับผลกำไรอย่างน่าสนใจ

คุณชนินทธ์ โทณวณิก CEO คนใหม่ของดุสิตธานีหลังคุณ ศุภจี วางมือไปรับตำแหน่งรัฐมนตรีพาณิชย์

เพราะในช่วงเวลาเดียวกันที่บริษัทแบกรับภาระดอกเบี้ยมหาศาล ไม่ใช่แค่รายได้รวมที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดเท่านั้น แต่บริษัทยังได้ขยายพอร์ตธุรกิจเพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งกว่าเดิม จากเดิมที่ดุสิตธานีมีเพียง 2 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ โรงแรม” และ “การศึกษา” ก็ได้ขยายเพิ่มจนปัจจุบันมีทั้งหมด 5 กลุ่มธุรกิจ ซึ่งรวมถึงธุรกิจอาหาร และธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้วย

สิ่งนี้ทำให้รายได้รวมกลับเติบโตอย่างก้าวกระโดดโดย

  • ปี 2559 มีรายได้ 5,370 ล้านบาท
  • ปี 2567 รายได้ทะยานขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 11,077 ล้านบาท

แม้จะเผชิญกับวิกฤต โครงการที่พักอาศัยสุดหรูอย่าง “ดุสิต เรสซิเดนเซส” ที่เป็นแหล่งรายได้หลักของการลงทุนทั้งหมด กลับสามารถสร้างยอดขายไปได้แล้วถึง 94% และกำลังจะเริ่มรับรู้รายได้ในช่วงปลายปี 2568

ทั้งหมดนี้คุณชนินทธ์ บอกไว้ในงานแถลงว่าสิ่งนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ความแข็งแกร่งของแบรนด์และทิศทางการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของดุสิตธานีได้เป็นอย่างดี

 ศึกสายเลือดในบ้าน

เรื่องนี้คือพายุลูกใหญ่อีกลูก โดยใจกลางของปัญหาทั้งหมดอยู่ที่ “บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด” ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้งของครอบครัว “ปิยะอุย” ที่ถือหุ้นใหญ่ที่สุดใน DUSIT ถึง 49.74%

ภายหลังการถึงแก่กรรมของผู้ก่อตั้ง ก็เกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างทายาท 3 คน คือ คุณชนินทธ์ โทณวณิก (พี่ชายคนโต) และน้องสาวอีก 2 คน ซึ่งเมื่อรวมสัดส่วนหุ้นของน้องสาวสองคนเข้าด้วยกัน ทำให้มีอำนาจมากกว่า และสามารถลงมติผลักดันวาระต่างๆ ใน DUSIT ได้โดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบจากพี่ชาย

ความขัดแย้งนี้ได้ลุกลามจนกลายเป็นแอคชั่นที่สั่นสะเทือนองค์กร เมื่อฝั่งน้องสาวได้ใช้สิทธิ์ในนาม “บริษัท ชนัตถ์และลูก” เสนอวาระการประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อ “ถอดถอน” คุณชนินทธ์ออกจากตำแหน่งกรรมการอย่างเป็นทางการ

เรื่องนี้ทำให้คุณชนินทธ์ต้องออกมาแถลงโต้กลับ โดยชี้ว่านี่คือความพยายามเปิดทางให้กลุ่มทุนภายนอกเข้ามาครอบงำกิจการ ซึ่งทั้งหมดนี้ได้สร้างความไม่แน่นอนให้กับอนาคตของบริษัท และต้องรอผลการตัดสินใจจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 26 กันยายนที่จะถึงนี้

คุณศุภจี CEO พักบทบาทรับตำแหน่งรัฐมนตรี

คุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ อดีต CEO ดุสิตธานี ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

เรื่องราวมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้ง เมื่อ คุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประกาศพักบทบาท CEO เพื่อไปรับตำแหน่งรัฐมนตรี

โดยคุณศุภจีให้เหตุผลที่รับตำแหน่งไว้ 2 เหตุผลคือ

  1. ประเทศต้องการความช่วยเหลือในภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย
  2. และที่สำคัญที่สุด นี่คือภารกิจ “ชั่วคราว” ที่มีกรอบเวลาชัดเจนเพียง 4 เดือนเท่านั้น

คำถามต่อมาคือ แล้วใครจะมาดูแลดุสิตธานีต่อ? คำตอบก็คือ “คุณชนินทธ์ โทณวณิก” รักษาการประธานกรรมการ และทายาทคนโตของผู้ก่อตั้ง ซึ่งเป็นศูนย์กลางของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนั่นเอง

โดยคุณชนินทธ์ได้กล่าวในงานแถลงข่าวว่า

“ผมขอคุณศุภจีอย่างเดียวว่าถ้ารับใช้ประเทศเสร็จแล้ว ขอให้กลับมาที่ดุสิต ซึ่งคุณศุภจีก็สัญญา”

เรื่องนี้ทำให้เห็นภาพชัดเจนว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ คือการส่งไม้ต่อชั่วคราวเท่านั้น

ด้านคุณศุภจีเอง ได้เปรียบเทียบการทำงาน 9 ปีที่ผ่านมาของตัวเองว่าเหมือนกับการสร้าง Runway และเครื่องบินที่พร้อมจะ Take off แล้ว แม้จะเจอวิกฤตโควิดที่ทำให้เครื่องขึ้นได้ช้ากว่าแผนไปบ้าง แต่ตอนนี้ เครื่องบินลำนี้กำลังจะทะยานขึ้นสู่ New Chapter ของการเติบโตอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

คุณศุภจี ยังได้ทิ้งท้ายหลักการทำงานที่น่าสนใจไว้ว่า “คนเราไม่ต้องรู้ 100% ถึงจะลงมือทำ แต่เราทำสิ่งที่เรารู้ แบบ 100%”

แล้วเธอจะนำประสบการณ์จากภาคเอกชนไปช่วยชาติได้อย่างไร? คุณศุภจีสรุปแผนงานของเธอว่าจะนำประสบการณ์มาต่อยอดใน 3 ด้านหลักๆ คือ

  • ด้านการค้าระหว่างประเทศ – ใช้คอนเนคชั่นและประสบการณ์สมัยดูแล IBM และไทยคม มาใช้เพื่อ “เปิดตลาดใหม่ๆ” และเน้นการ “เพิ่มรายได้” เข้าประเทศ
  • ด้านการสร้างแบรนด์สินค้าไทย – นำความเชี่ยวชาญจากการปั้นแบรนด์ “ดุสิตธานี” มาช่วยสร้าง “อัตลักษณ์” ที่แข็งแกร่งให้กับสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ไทย ให้เป็นที่ต้องการของตลาดโลก
  • ด้านการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน – ใช้ทักษะการทำงานร่วมกับคนเพื่อประสานงานกับข้าราชการและทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล เพื่อผลักดันนโยบายให้เดินหน้าได้อย่างรวดเร็ว

ก้าวต่อไปของดุสิตธานี

การตัดสินใจของคุณศุภจีในครั้งนี้ เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่บริษัทกำลังจะผ่านพ้นช่วงที่ยากลำบากที่สุด และกำลังจะเข้าสู่ช่วง “เก็บเกี่ยว” ผลกำไรมหาศาลจากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการดุสิต เรสซิเดนเซส ในปีหน้า

จากนี้ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า ผลการประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 26 กันยายนนี้จะเป็นอย่างไร ท่ามกลางกระแสข่าวลือว่าปัญหาความขัดแย้งอาจมีการพูดคุยกันเรียบร้อยแล้วจนส่งผลให้หุ้น DUSIT ปรับตัวขึ้นในช่วงที่ผ่านม และเมื่อคุณศุภจีเสร็จสิ้นภารกิจเพื่อชาติในอีก 4 เดือนข้างหน้า และกลับมาที่ดุสิตธานีอีกครั้ง ภาพขององค์กรในวันนั้น จะเป็นอย่างไรต่อไปก็คงต้องตามกันดู


  •  
  •  
  •  
  •  
  •