‘ไม่รัก ให้ถีบ’ เบื้องหลังมันๆ หักมุมแบบหงายเงิบของโฆษณา VC Fabric โดย เต๋อ นวพล

  • 218
  •  
  •  
  •  
  •  

คุณจะทำอย่างไร…ถ้าสามีของคุณขอใครอีกคนแต่งงาน!

เป็นคำโปรยหนังโฆษณาที่โหดมาก แต่จะหักมุมหนักไปอีกถ้ารู้ว่าหนังโฆษณาชิ้นนี้เป็นโฆษณาผ้าม่านกันแดด ยี่ห้อ VC Fabric ซึ่งถือว่าเป็นอะไรน่าสนใจมากกับการนำเรื่องราวของชีวิตคู่มาผูกโยง ‘ม่าน’ โดยมี Key Message สำคัญได้แก่ #ความรู้สึกเปลี่ยนได้ #ม่านเพื่อความรู้สึกใหม่ ส่วนจะมีอะไรหักมุมมากกว่านั้นหรือไม่ เชิญชมค่ะ

ถือเป็นหนังโฆษณาที่ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งทีเดียวกับหนังสั้นของ VC Fabric ที่มีจุดหักมุนในตอนเกือบท้ายเรื่อง ซึ่งแม้ว่าในตอนแรกก็ยังงงว่าจะสามารถผูกโยงเรื่องราวดราม่าเข้ากับผ้าม่านได้อย่างไร แต่สุดท้ายสิ่งที่เกิดขึ้นก็สร้างความประทับใจให้ผู้ชม และยังสามารถจดจำโปรดักส์ได้อีกด้วย ซึ่งหากได้น้อยในงานไวรัลในปัจจุบัน

ทั้งนี้ เบื้องหลังหนังโฆษณาชิ้นนี้อาจจะต้องยกนิ้วชมให้กับผู้กำกับมือถือ เต๋อ นวพล ผู้อยู่เบื่องหลังความสำเร็จของหนังดัง 80 กว่าล้านบาท “ฟรีแลนซ์..ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ” นั่นเอง ซึ่ง “เต๋อ” ก็ได้โพสต์เล่าถึงเรื่องราวเบื้องหลังการทำงาน ซึ่งมันก็ออกจะยาวๆ หน่อย แต่อยากให้ได้อ่านเบื้อหลังที่เรียกได้ว่ามีทั้งโหด มัน ฮา สไตล์เต๋อ-นวพล

vc2

หลังบ้านหลังม่าน : a curtain call / behind 1

: มันก็จะ gone girlๆ หน่อย

จริงๆ ตอนที่ผมอ่านบทที่ทางเอเจนซี่เขียนและส่งมาให้ตอนแรก มีความไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะทำได้ไหม เพราะเนื้อเรื่องแนวนี้จริงๆไม่เคยทำเลย (ครอบครัว ผัวเมีย) แต่ก็ลองอ่านดูดีๆอีกทีนึง แล้วพบว่าช่วงท้ายๆเหมือนจะดีเหมือนกัน และธีมที่ได้รับหลังจากการอ่านคือการเปลี่ยนชีวิตด้วยการเริ่มต้นเปลี่ยนที่ตัวเอง การ redefine คำว่าครอบครัวแบบใหม่ หรือการที่เราจะได้ห้องใหม่มา ถ้าเราจัดมันใหม่ #ชีวิตก็เช่นกัน เลยคิดว่าดูมีอะไรน่าจะเข้ากันกับตัวเองได้บ้าง แต่พออ่านบรีฟที่ต่อท้ายไปกว่านั้นคือ มันน่าจะเป็นแบบเรียลๆแบบ gone girl , เลยพบว่า ไม่น่าเข้ากันได้ละ 5555 ไม่ใช่ไร คือ เข้าใจแต่ทำไม่เป็น , ก่อนจะส่งข้อความไปขอโทษพี่ๆเขา เลยลองคิดอีกรอบว่า ถ้าไม่ gone girl มันจะอะไรได้บ้าง

นึกไปแบบเร็วสุด ไม่มีไรเลย คือ ช่วงนั้นดูหนังของอัลเฟรด ฮิทช์ค็อคเก่าๆ แล้วมันตลกดี คือ แสงแรงสัดๆ กับ ฉากข้างหลังชอบปลอมๆ (ถ่ายฉากทีเป็นเอาท์ดอร์ยังถ่ายสตูดิโอเลยบางที ทะเลนี่ปลอมมาก) เลยคุยกับพี่หญิงตากล้องว่า เออ จริงๆอยากลองถ่ายแบบนี้ดูนะครับ แบบหนังทั้งเรื่องจัดแสงปลอมๆ ตัวละครหน้าแข็งๆ ฉากเซ็ตๆ ก็คุยกันจบที่ตรงนั้น ก็ทดไว้ในใจว่าถ้ามีงานไหนเหมาะก็น่าลองเอาสไตล์นี้มาทำดู

กลับไปที่การอ่านบทอีกรอบ อ่านแล้วรู้สึกว่าช่วงแรกๆของมันก็เหมือนหนังเก่าๆนะ แบบชั้นรักเค้า เค้าทำร้ายชั้น แต่ชั้นต้องอยู่เพื่อลูกเพื่อครอบครัว มันเหมือนตัวละครจากสมัยโน้นมาก ซึ่งสมัยนี้คิดว่าน่าจะเปลี่ยนไปหมดแล้ว ทุกอย่างดูฟรีขึ้น และ ซิงเกิ้ลมัมหลายท่านก็สามารถเริ่มต้นมีชีวิตใหม่ได้ (และอาจจะดีกว่าเดิม) (ป.ล. อ่านคอมเมนต์หนังแล้วพบว่าหนังโดนใจพี่ๆซิงเกิ้ลมัมกันเยอะดี โอ้) เลยคิดว่าน่าจะแบ่งเป็นสองครึ่งคือ ก่อนเปลี่ยนผ้าม่าน ถ่ายแบบหนังเก่า และ หลังเปลี่ยนผ้าม่าน ถ่ายแบบหนังใหม่ ซึ่งช่วงหนังเก่าเนี่ยคือจะยืมสไตล์กับวิธีถ่ายมาเฉยๆ แต่บรรยากาศและเวลาจะต้องเป็นยุค 2017 (มีสมาร์ทโฟน มีไลน์ เสื้อผ้าปัจจุบัน แต่แสงจากด้านนอกสาดเข้ามาแรงมากและแข็งมากแบบหนังสมัยก่อน) และลองเพิ่มไอเดียเรื่องการออกจากกรอบแบบเซอร์เรียลเข้าไป คือเดินออกจากฉากมาเฉ๊ย.. 555 ว่าง่ายๆคือใช้ ซีเนม่า เทคนิคเป็นตัวดำเนินเรื่องไปเลย /// ไอเดียกับไดเรคชั่นนี้แหละ เอามาต่อปลั๊กกับบทที่มีอยู่ในมืออีกที ไม่ต้องแก้โครงเรื่องเขา แล้วลองเสนอทางเอเจนซี่ไปดู ถ้าไม่ผ่าน เราก็เป็น gone boy ไป 5555

โชคดีว่าผ่าน หลังจากนั้นเลยอัญเชิญดวงวิญญาณคุณปู่หนังเก่าทั้งหลายมาประทับร่าง ไม่รู้ว่าจะทำได้ป่าว คือ จริงๆมันยากนะมึง ที่จะทำแบบหนังยุคนั้นได้ มันไม่ใช่แค่เรื่องภาพ มันเป็นวิธีคิดด้านเทคโนโลยีการผลิตในตอนนั้นเลย , ไว้จะมาเล่าต่อไปนาจา

#acurtaincall

vc4

หลังบ้านหลังม่าน : a curtain call / behind 2

: ปลอมมมม เปลือกกกกกก

ด้วยความที่กำเนิดจากสายอินดี้ การถ่ายหนังที่เกิดจากการสร้างฉากขึ้นมาทั้งอันนั้นไม่เคยได้ทำแต่อย่างใด เพราะว่าไม่มีตังค์ เน้นถ่ายโลเคชั่นจริง ดังนั้นประสบการณ์ถ่ายหนังในสตูดิโอแล้วสร้างฉากขึ้นมานั้นจึงได้ทำครั้งแรกในงานชิ้นนี้ ซึ่งตอนก่อนจะทำก็ตื่นเต้นมาก (แต่ถ้าไปถามพี่ๆที่ทำโฆษณามา เขาคงบอกว่ากูถ่ายมา 20 ปีละ หรือ จริงๆน้องรุ่นใหม่บางคนคงเคยทำงานแนวนี้มาตั้งแต่สมัยเรียน เหลือแต่กูนี่แหละที่ถ่ายหนังมาสี่เรื่องแล้ว ยังไม่เคยอยู่ในฉากที่สร้างเอา 555 ) เลยตื่นเต้นมากที่จะได้ถ่ายในสตูดิโอเกือบทั้งวัน สบายแล้วกู ไม่มีเสียงรบกวน ไม่ต้องกลัวฝนตก จะดีไซน์ห้องยังไงก็ได้ ดีจังเลย

ตัดภาพไป ยืนดมฝุ่นขี้เลื่อยอยู่ในสตูดิโอ กลิ่นสีต่างๆมากมาย ติดผ้าปิดปากถ่ายตลอดงาน และถ่ายตั้งแต่หกโมงเช้าถึงหกโมงเช้าอีกวัน โอ้ น็อครอบครับ สบายยังไง / แต่ยังไงก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก เปิดโลกมาก คือ ไม่นึกว่าการสร้างฉากนั้น เขาจะทำกันได้เหมือนจริงขนาดนี้ จนบางอันเหมือนไป แล้วคนนึกว่าไม่ได้ถ่ายที่ฉากที่ตอกสร้างขึ้นมา ตัวอย่างเช่น ฉากหน้าลิฟท์ของพี่นก นางเอก และ ผ้าป่าน นั้น มีคนดูแล้วถามว่า นี่ไปถ่ายที่อพาร์ทเมนต์ไหน (นี่คือกูควรดีใจหรือเสียใจ) อุตส่าห์สร้างขึ้นมาทั้งอัน แต่ก็ตกใจมากที่เขาสร้างลิฟท์แบบเนียนมากจนเหมือนของจริง ประตูลิฟท์นี่ใช้คนดึงๆเปิดเอานะ แต่ก็เนียนอยู่ดี ปุ่มกดลิฟท์นี่เหมือนจริงมาก 5555 หรือตัวบ้านนางเอกนั้น ตอนถ่ายๆอยู่ก็รู้สึกว่า ทำไมมันเหมือนบ้านจริงเลยวะ (บ้านนางเอกตอนครึ่งแรก สร้างตามบ้านจริงๆที่ปรากฎในครึ่งหลัง พี่ก็สร้างซะเหมือนเลย) จนบางทีรู้สึกว่า ทำไมกูไม่ถ่ายที่บ้านจริงไปเลย จะได้ไม่ต้องย้ายสถานที่ 555 แต่เหตุผลที่ต้องสร้างฉากก็คือ อยากทำเหมือนหนังสมัยก่อนที่ส่วนใหญ่จะถ่ายกันในฉากสตูดิโอกันหมด กับคิดว่าถ้าเราสร้างฉากเอา เราคงจัดแสงแข็งๆประหลาดๆอย่างที่ต้องการได้ และเราก็จะได้บ้านนางเอกที่วิวนอกหน้าต่างดูปลอมด้วย (ซึ่งตอนถ่ายจริง ไม่เห็นวิวเหี้ยไรเลยที่บ้านปลอม ขอโทษทีมสร้างด้วยครับ อุตส่าห์ให้ไปทำวิวปลอมมา) แต่ที่สำคัญสุดคือ เราต้องมีซีนนางเอกเดินออกจากบ้านฉากอันเป็นคีย์สำคัญของเรื่อง ยังไงก็ต้องสร้างล่ะ

ที่สนุกพิเศษคือ พวกฉากเล็กๆน้อยๆ เช่น ฉากขับรถที่ขับแบบปลอมๆ หรือ บรรดาฉากทะเลที่เป็นทะเลปลอมเช่นกัน คือ พอจะคอนเซปต์หนังโบราณ เลยต้องใช้ซีนที่บ่งบอกถึงความโบราณทันที เพราะหนังมันสั้น เลยคิดว่า ต้องมีฉากขับรถปลอม กับ ฉากเอาท์ดอร์ปลอมๆที่เขายิงโปรเจคเตอร์ภาพเคลื่อนไหวด้านหลังเอา แทนที่จะออกไปถ่ายจริงๆ แล้วจัดแสงแรงๆผิดธรรมชาติ (พี่หญิงตากล้องบอกว่า เหมือนสมัยก่อนกล้องถ่ายหนังมันรับแสงได้น้อย เลยต้องจัดแรงๆจ้าๆไว้ก่อน) , ตอนเขียนบทเลยคิดว่าควรต้องมีฉากทะเลกับขับรถนั่นแหละ ทีเดียวจบ โดยพยายามลองดูจากพวก vertigo อะไรพวกนั้น แล้วตอนถ่ายทำก็ได้ลองยิงโปรเจคเตอร์ภาพเคลื่อนไหวแล้วเอานักแสดงไปยืนเล่น แค่นี้เราก็ได้ทะเลกรุงเทพแล้ว , ผลที่ออกมานี่ ถ้าไม่รู้ว่าเป็นคอนเซปต์หนังเก่า คงจะคิดว่า นี่ทำอะไรของมึง มึงไม่มีตังค์ออกกองต่างจังหวัดเหรอ ทำไมไม่ไปถ่ายทะเลจริง มันปลอมสุดๆ 5555

รอบหน้า , กับสิ่งที่ยากที่สุดในเรื่องคือ โดดเตะคนแก่ , เดี๋ยวมาเล่าให้ฟังต่อ

#acurtaincall

vc3

หลังบ้านหลังม่าน : a curtain call / behind 3

: kick aunt / kick ass

หนึ่งในความเครียดสุดของงานนี้ คือ ฉากถีบป้า , วิธีการแคสท์ป้านั้นที่เหนือกว่าน้ำเสียงโบราณแล้ว เราจะดูในเทปว่า ป้าคนไหนโดนถีบล้มแล้วตลกสุด แค่นั้นจบ ทำไมเราจึงเป็นคนเหี้ยแบบนี้

อย่างไรก็ตามเราก็ได้พบกับป้าจ๋า ที่นอกจากจะเสียงแบบกระจกหกด้านแล้ว ป้าจ๋ายังล้มได้ฮาเป็นธรรมชาติ ราวกับป้าจ๋าเกิดมาเพื่อโดนถีบ , เมื่อได้เจอกับป้าจ๋าแล้ว ก็เกิดคอนดิชั่นขึ้นมากมาย คือตอนทำแคสท์เราพี่ทำแคสท์เขาแค่เตะก้นแล้วล้ม แต่ในใจที่คิดไว้คือกระโดดถีบ หรือ ไม่ก็เตะก้านคอ , เมื่อป้าจ๋ารู้ว่าต้องโดดถีบยอดอกกับก้านคอแล้ว ป้าก็ตกใจและหนีไป ไม่ใช่สิ ป้าก็จึงขอต่อรองขึ้น เช่น ป้าสะโพกไม่ค่อยดี ข้อเข่าอาจจะหักได้ เวลาล้มควรล้มด้านขวามากกว่าด้านซ้าย ฯลฯ ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งเราลืมคิด 5555 ลืมไปว่าคนแก่ อาจจะล้มยาก ในหัวกูก็คิดซะว่าป้าสามารถล้มปลิวไถลไปกับพื้นได้ (เน้นสะใจล้วน) แถมจะถ่ายลองเทค ภาพกว้าง เห็นล้มแบบจะจะกองลงไปพื้นต่อหน้าอีก // เราจึงต้องมาดีไซน์กันใหม่หมดว่า เราควรจะเตะยังไง ป้าควรจะล้มยังไงให้เซฟที่สุด และเราก็ยังได้ของแรง รอบนี้ต้องสวมวิญญาณพี่พันนาและจาพนมรวมกัน

สุดท้ายก็คือต้องดีไซน์ช็อตใหม่ เป็นภาพแคบและให้กล้องไปอยู่หลังป้าแทน เพื่อให้ป้าได้กระเด็นล้มบนฟูกได้อย่างสบายใจ และพี่นางเอกสามารถกระโดดถีบได้อย่างคล่องเท้า ของพี่นกนางเอกก็ดีไซน์ท่าเตะอยู่หลายแบบ มีทั้งลองเตะก้านคอจริง (แต่ขาสูงไม่ถึง) เดินมาถีบยอดอก (ดูไม่แรง) สุดท้ายเลยคิดว่าต้องกระโดดเตะสองจังหวะ ดูแรง กระชับ ฉับไว ซึ่งนั่งคิดว่ากูไปเอาท่านี้มาจากไหน นึกดีๆคิดว่าน่าจะเป็นตอนสมัยเรียนพละ ตอน ม.ปลาย

ในรูปนี้คือ เป็นช่วงทดสอบว่า เราสามารถให้พี่นกวิ่งกระโดดซูเปอร์ไรเดอร์คิกได้หรือไม่ เพราะมันดูแรงมากๆดี , แต่โปรดสังเกตหน้าป้าจ๋า …

#สัด #มึงมาโดนเองมั๊ยไอ้แว่น #เกรงใจป้าบ้าง

ตอนต่อไปเจอชาวนักแสดง

#acurtaincall

vc1

หลังบ้านหลังม่าน : a curtain call / behind 4

: กริ๊บๆ people

กฎการเลือกนักแสดงสำหรับงานชิ้นนี้ ง่ายๆเลยคือ เราจะหานักแสดงที่บุคลิกรูปร่างหน้าตาที่มีความกริ๊บ สมมาตร เป็นต้นแบบ เหมือนกับดาราหนังสมัยก่อนที่จะเรียบร้อยดูเป็นตัวอย่างความงาม แต่แน่นอนว่าพวกเขาก็ต้องแสดงได้ด้วย , เพลย์เยอร์หลักรอบนี้มี 4 คน

1. พี่นก (แนน) : เราจะเห็นพี่นกเป็นคุณแม่ต้นแบบในงานโฆษณาแนวแม่ลูกชิ้นต่างๆ จึงถือเป็นโอกาสดีที่เราจะเอาคุณแม่ต้นแบบมาแหกกฎในงานชิ้นนี้ พี่นกให้เล่นอะไรก็เล่นได้ ให้ร้องไห้ก็เทคเดียวผ่านเรียบ ยากสุดคือการกระโดดถีบกับการพูดคำหยาบนี่แหละที่ต้องมีการเทรนพิเศษกันหน่อย ที่สำคัญคือ หน้าพี่นกนั้นสมมาตร เป๊ะ กริ๊บ ราวกับเอมี่ กลิ่นประทุมผสมอ้อน เกวลิน (ตัวอย่างนี่ 90s มาก) , เห็นไหมว่า น่าจับมาโดดถีบเพื่อทำลายภาพลักษณ์กริ๊บๆของพี่เขาแค่ไหน

2. นายวิน (พี่บ๊อบ) : เห็นหน้าตาครั้งแรกก็ดูรวยเลย ดูเป็นนักธุรกิจหนุ่มในละคร (เขากำลังจะเล่นละครจริงๆกับช่องทีวี) ดูหน้าตาเป็นคนดี ที่จะทำให้ตัวละครตัวนี้ดูเหี้ยขึ้น (เป็นข้อดีนะ) สามารถพูดอะไรเซอร์เรียลออกมาได้ , ปัจจุบันวินเป็นหมอฟัน สามารถไปพบเขาได้ที่ ydc

3. นายผ้าป่าน สิริมา (นิ่ม) : ผ้าป่านลีลาแพรวพราว รอบนี้ได้อันล็อคพลังเธอเพียงเล็กน้อย แต่หลังจากได้สัมผัสก็พบว่าเธอมีพลังงานมหาศาลแฝงอยู่ ไว้ต้องพามาปล่อยพลังอีก , ผ้าป่านเป็นมนุษย์อยู่ดึก คือ เกรงใจมาก กว่าจะได้ถ่าย ก็ดึกมาก แต่เธอเตรียมคอมมาทำงานอยู่แล้ว อ้าว กูรู้สึกผิดหนักเข้าไปอีกที่ต้องทำให้รอนาน ขออภัยด้วย

4. น้องฟิน : จะบอกว่าผมกำกับน้องฟินได้ก็ต้องผ่านพี่จุ๊บและน้องแคสติ้งอีกคนล้วนๆ เนื่องจากน้องฟินรักพี่แคสติ้งมากกว่าข้าพเจ้า 5555 แต่ผมยังไงก็ได้ ขอให้ผลลัพธ์ออกมาดีสุด น้องฟินสามารถท่องอะไรพิเรนทร์ๆยาวๆที่ข้าพเจ้าเขียนได้ ที่สำคัญคือ ปลุกน้องมาแสดงตอนตี 3 น้องก็ยังสามารถเล่นได้อยู่ สงสารน้องมาก T T แต่พี่ขอนะ

งานรอบนี้รอดมาได้ด้วยการแสดงกริ๊บๆแม่นๆคล่องๆของทุกคน

ข้าพเจ้าก็ขอบคุณมา ณ ที่นี้

จบเบื้องหลังงานนี้นนะ

#acurtaincall

Nawapol 1

สรุปโดยย่อ

  1. ความ Gone girl ที่ทำไม่ได้ กับการอัญเชิญวิญญาณของอัลเฟรด ฮิทช์ค็อค มาประทับร่าง
  2. เน้นความปลอมและเปลือก กับการถ่ายหนังที่เกิดจากสร้างฉากครั้งแรกของ นวพล ถ่ายอย่างไรให้ดูปลอม แบบไม่ตั้งใจให้ดูปลอม แต่ต้องดูแล้วปลอม ??
  3. การดีไซน์ฉากโดดถีบ ที่เน้นรุนแรงและจริงจัง แต่ลืมไปว่านักแสดงที่ถูกถีบเป็นรุ่นคุณป้าที่สะโพกบอกบาง แถมยังข้อเข่าไม่ดี
  4. เน้นเลือกนักแสดงที่มีความกริ๊บ แบบสมมาตร ให้เหมือนกับนักแสดงสมัยก่อน

  • 218
  •  
  •  
  •  
  •  
pigabyte
การเรียนรู้ไม่มีวันจบสิ้น มาเรียนรู้และสนุกไปกับบทความ จาก MarketingOops! กันนะคะ แล้วเราจะได้ค้นพบว่าโลกของ Marketing นั้น So Sexy and Cool!