“จากวันแรกของการทำงาน สู่ทศวรรษแห่ง Partnership” ถอดรหัสความสัมพันธ์กว่า 10 ปี ของ Spa-Hakuhodo และ Oishi Group

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

 

ในการทำงานร่วมกันระหว่างเอเจนซี่และลูกค้า ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะรักษาความสัมพันธ์อย่างยืนยาว เพราะหลายสิ่งเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แต่อาจจะไม่ใช่เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่าง “Spa-Hakuhodo” และ “Oishi group” ที่เป็นพาร์ทเนอร์กันมาอย่างยาวนานกว่า 10  ปี จับมือเดินทางร่วมกัน ฝ่าฟันทั้งอุปสรรควิกฤตและชูมือรับความสำเร็จ ก็ไม่เคยทิ้งกัน แต่อะไรคือเคล็ดลับแห่งความสัมพันธ์ที่น่าอิจฉานี้ คุณณธิดา รัฐธนาวุฒิ ผู้ก่อตั้ง MarketingOops.com จึงชวน คุณแซม – ไพศาล อ่าวสถาพร First Vice President Chief Food Business Thailand Thai Beverage Public Company Limited ผู้บริหารมากความสามารถ ซึ่งเป็นผู้บริหารสูงสุดสายธุรกิจอาหารประเทศไทย บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลร้านอาหารในเครือไทยเบฟทั้งหมด ภายใต้ โออิชิ โฮลดิ้ง  (Oishi Holding Co., Ltd) ฟู้ด ออฟ เอเชีย (Food of Asia Co., Ltd) และ เดอะ คิวเอสอาร์ ออฟ เอเชีย (The QSR of Asia Co., Ltd – KFC) โดยหากนับตั้งแต่วันแรกที่ทางไทยเบฟฯ ได้เข้าไปถือหุ้นใหญ่ในธุรกิจ สิริรวมปัจจุบันอยู่กับไทยเบฟมากกว่า 25 ปี และยังเชิญ คุณจิ๊บ – จิรภัทร์ กาญจะโนสถ ผู้บริหารสาวสวย ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง COO of Hakuhodo International Thailand และ CEO of Spa-Hakuhodo ซึ่งในปัจจุบันกลุ่มฮาคูโฮโดในประเทศไทย มีทั้งหมด 14 บริษัท ภายใต้การบริหารงานด้วยนโยบายแบบ Synergy  หรือ One country one operation โดยผู้บริหารทั้งสองท่านมาร่วมพูดคุยเปิดใจถึงความสัมพันธ์ที่นำไปสู่ความสำเร็จทางธุรกิจอย่างยั่งยืน

 

(ซ้าย) คุณณธิดา รัฐธนาวุฒิ ผู้ก่อตั้ง MarketingOops.com , (กลาง) คุณแซม – นายไพศาล อ่าวสถาพร Chief Food Group of ThaiBev และ (ขวา) คุณจิ๊บ จิรภัทร์ กาญจะโนสถ COO of Hakuhodo International Thailand , CEO of Spa-Hakuhodo

 

Spa-Hakuhodo กับบทบาทพาร์ทเนอร์ พาธุรกิจจากหลักพันล้านสู่ 7 พันล้าน

Spa-Hakuhodo นับเป็นเอเจนซี่ที่มีความโดดเด่นในการเป็นพาร์ทเนอร์เชิงกลยุทธ์ สามารถผสมผสานอินไซต์จริตคนไทย เข้ากับมาตรฐานการทำงานที่แม่นยำระดับสากลได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำปรัชญา Sei-katsu-sha เข้าไปค้นหาตัวตนของผู้บริโภคในมิติของความเป็นมนุษย์มากกว่าผู้ซื้อ และในฐานะพาร์ทเนอร์เชิงกลยุทธ์ของ โออิชิ กรุ๊ป (OISHI) ก็ยังเป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่ช่วยพาแบรนด์จากธุรกิจระดับ 1,000 ล้านสู่ 7,000 ล้านบาท ภายใน 10 ปี ซึ่งสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลย ยืนยันได้จากคำพูดของคุณแซม ที่ร่วมงานกับทีม Spa-Hakuhodo นำทัพโดยคุณจิ๊บนั่นเอง

ตอนเริ่มต้นธุรกิจอาหารของเรามีมูลค่าไม่ถึง 1,000 ล้านบาท แต่หลังจากทำงานร่วมกับ Spa-Hakuhodo ภายใน 10 ปี เราสามารถขยายธุรกิจให้มีมูลค่าถึง 7,000 ล้านบาท ส่วนเครื่องดื่มก็โตขึ้นมาเกือบเท่ากันอีก 7,000 ล้านบาท รวมกันเกือบหมื่นห้าพันล้านบาท” คุณแซมกล่าวในภาพรวม

ทั้งนี้ ภาพรวมของธุรกิจโออิชิกรุ๊ป ขณะนี้มี 300 สาขา โดยแบ่งเป็น 2 พอร์ตหลักๆ คือ “อาหาร” และ “เครื่องดื่ม” ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มแบบญี่ปุ่นผ่านแบรนด์ โออิชิกรีนที โออิชิ โกลด์ และ โออิชิ ชาคูลล์ซ่า โดยที่ในฝั่งอาหารนั้น มีการแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลักด้วยกัน 1) บุฟเฟ่ต์ 2) กลุ่มอะลาคาร์ท (A-la-carte) ที่ราคาจับต้องได้ เช่น โออิชิราเมง และอีก 20 แบรนด์ในพอร์ต 3) กลุ่ม Food Service พวกผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็ง เช่น โออิชิเกี๊ยวซ่าที่วางขายใน 7-Eleven เป็นครั้งแรก และโออิชิแซนด์วิชแบบญี่ปุ่น ฯลฯ 4) กลุ่ม Premium เช่น ร้านซากาเอะ ร้านโฮยู เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นพรีเมียมที่สั่งวัตถุดิบตรงจากญี่ปุ่น

 

จุดเริ่มต้นความเป็นพาร์ทเนอร์ ความประทับใจแรกสู่ความสัมพันธ์ที่ดีต่อเนื่องยาวนาน

 

 

แน่นอนว่าทุกความสัมพันธ์ย่อมต้องมีจุดเริ่มต้น คุณจิ๊บ เล่าเบื้องหลังการพาทีมไปพิทชิ่งจนได้ลูกค้าโออิชิว่า สำหรับโออิชิถือเป็นแบรนด์ใหญ่ที่ทุกเอเจนซี่อยากได้ ดังนั้น สิ่งที่เราทำคือเราต้องการแสดงให้ลูกค้าเห็นว่า เรามีความตั้งใจและทุ่มเทแค่ไหน เพราะมันคือแพสชั่นและคำมั่นที่เรามีให้กับแบรนด์ เปรียบเสมือนการไปจีบผู้หญิง ที่เราต้องสามารถพิสูจน์รักแท้ให้ได้ในวันแรก เราจึงต้องแสดงออกถึงความตั้งใจและหัวใจที่อยากร่วมทางเดินร่วมกันให้ได้

คุณแซม เล่าว่า ในวันที่ทราบว่าคุณจิ๊บย้ายมายู่ที่ Spa-Hakuhodo ก็อยากร่วมงานด้วยอีกครั้งเลยชวนมาพิทชิ่ง ซึ่งทั้งทีมแสดงออกถึงความทุ่มเทและความตั้งใจในการนำเสนองานอย่างมาก มีการสร้างบรรยากาศที่มากกว่าแค่โชว์สตอรี่บอร์ด มีการแสดงมีการเล่าเรื่องที่น่าสนใจ ทำให้เราเห็นภาพที่ชัดเจนว่าพวกเขาจริงจังกับการทำงานนี้มากแค่ไหน ซึ่งเราประทับใจในจุดนี้มากๆ

“แต่มากไปกว่าการสร้างความประทับใจในวันแรก มันคือสิ่งที่เขาทำในวันต่อๆ มาด้วย พวกเขาได้พิสูจน์ตัวเองว่าทุกอย่างที่ทำคือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ สำหรับเราไม่ได้แค่เชิงแบรนด์ดิ้งอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของรายได้ที่ทำให้เราเติบโตอย่างก้าวกระโดด จนทำให้เราก็ยังคงทำงานด้วยกันเรื่อยมา” คุณแซมกล่าวเสริม

 

แคมเปญสำคัญ บทพิสูจน์ของการร่วมกันฝ่าฟันวิกฤต  

ในระยะเวลาที่ทำงานร่วมกันมากว่า 10 ปี ย่อมต้องเคยผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากกันมาบ้าง เหตุการณ์สำคัญที่โออิชิและ Spa-Hakuhodo ร่วมกันฝ่าฝัน มีหลายเหตุการณ์ทีเดียว แต่หนึ่งในความทรงจำสำคัญ ได้แก่ เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 คุณแซมเล่าว่า ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มเป็นกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรงทันทีเมื่อเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจและสังคม ตัวอย่างที่ชัดเจนคือวิกฤตน้ำท่วมปี 2554 นอกจากกระทบการจับจ่ายแล้ว ยังกระทบจิตใจของผู้บริโภคอีกด้วย แม้น้ำจะลดแล้ว แต่ความรู้สึกหนักหน่วงในจิตใจคนยังไม่ลด ผู้บริโภคไม่อยากออกมานั่งทานข้าวในร้านอาหาร ในตอนนั้น โออิชิได้นโยบายว่าอยากคืนความสุขให้คนไทย เราจึงพัฒนาแคมเปญ “ให้” ออกมา ซึ่งการออกเสียงก็เหมือนภาษาญี่ปุ่น ไฮ้! เป็นแคมเปญตอบแทนสังคม (CSR) ที่อยากคืนความสุข คืนความสดชื่นให้คนไทย

“ตอนนั้นเราเสนอให้ลูกค้าลดราคา 50% ทุกแบรนด์ทุกสาขาเลย และให้กินฟรี 1 วันด้วย ซึ่ง ณ วันนั้นเราไม่เคยคิดว่าลูกค้าจะกล้าทำ เพราะต้องไม่เอากำไรเลย แต่คุณแซมก็ตัดสินใจทำเลย เพราะเราคิดว่าถ้าจะ ให้ จริงๆ ต้องทำให้ใหญ่ที่สุด ซึ่งการลดราคา 50% ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะลดคุณภาพลง แต่เรายังรักษาคุณภาพความอร่อยเหมือนเดิมทุกอย่างจัดเต็ม ใครอาจจะมองว่าทำไม่ได้ แต่พวกเรามั่นใจว่าถ้าตั้งใจจริงทำได้แน่” คุณจิ๊บเล่าถึงเบื้องหลังและบอกอีกว่า ที่สำคัญ แคมเปญนี้เราทำแบบ CSR  ถ่ายทำกันเอง ตัดต่อเอง นักแสดงก็คือคุณแซมกับเชฟของโออิชิ ไม่มีงบโปรดักชั่น

 

 

คุณแซม เสริมว่า เราทำทั้งหมด 7 วัน เพื่อให้ทั่วถึงทั้งคนที่หยุดวันธรรมดาและวันเสาร์-อาทิตย์ ลูกค้าเริ่มมาเข้าคิวตั้งแต่ตี 4 เรียงจากลานจอดรถขึ้นไปถึงชั้น 4 ภายใน 7 วัน เรามีลูกค้าหนึ่งล้านคนเข้ามาใช้บริการ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

“แม้ว่าเราจะขาดทุนในระยะสั้น แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือแบรนด์เลิฟ (Brand love) และที่ไม่น่าเชื่อคือผู้บริโภค 1 ล้านคนเหล่านั้น กลับมาช่วยผมภายหลัง พวกเขานำคนมาอีกเป็น 1 ล้านคนเข้าร้านอาหาร มันทรงพลังมาก”

 

ความท้าทายในยุค COVID-19 ทุกร้านต้องปิดแต่ยังหามุมในการใกล้ชิดผู้บริโภค

 

 

 

อีกหนึ่งวิกฤต ที่ร่วมจับมือฝ่ากันมาคือช่วย  COVID-19 ซึ่งคุณจิ๊บเล่าว่า ช่วงนั้นอย่างที่ทราบกันดีว่าร้านอาหารเปิดแทบจะไม่ได้เลยในช่วงที่ล็อกดาวน์ หรือการทำแคมเปญการตลาดก็อาจจะไม่ได้ช่วยอะไรนัก แต่ก็คิดว่าเรากับลูกค้าควรจะต้องทำอะไรสักอย่าง ซึ่งเราก็มองเห็นว่าในเรื่องของความปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญในช่วงนั้น

“เราถอดหมวกของเอเจนซี่ออก หมวกเดียวที่เราต้องมีคือการเข้าใจผู้บริโภค ทั้งทีมมานั่งคิดว่า ถ้าเราเป็นผู้บริโภคคนหนึ่งที่เดินเข้าร้านอาหาร checklist ของความปลอดภัยต้องมีอะไรบ้าง บางทีก็ถามตัวเองว่านี่ยังเป็นเอเจนซีอยู่หรือเปล่า เราช่วยลูกค้าคิดทุกอย่างให้เลยจริง มันคือการทำงานที่มากกว่าจริงๆ ให้กับลูกค้า”

คุณแซมกล่าวเห็นด้วยทันทีว่า ตอนที่คุณจิ๊บติดต่อมาว่าเราต้องทำอะไรบางอย่าง ตอนแรกก็อึ้งไปเหมือนกัน เพราะทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่เราจับมือกับเอเจนซี่ที่รู้ใจกัน และร่วมกันสร้างทางออก เราก็ช่วยกันคิดจนสามารถดึงทราฟฟิกกลับมาได้ จนเรียกว่าจากร้านอาหารที่ปิดตัว เราก็ฟื้นตัวได้เร็วมากเลย

 

Success case ครั้งแรกกับการคอลแล็บฯ กับ “เชฟซาไก”

นอกจากเรื่องเพื่อสังคมที่จับมือกันทำแล้ว ก็ยังมีอีกเรื่องราวของการจับมือกันดังเปรี้ยงปร้างสร้างความสำเร็จด้วย หนึ่งในนั้นคือแคมเปญที่ Collaboration ร่วมกับ “เชฟซาไก” (ฮิโรยูกิ ซาไก) เชฟญี่ปุ่นชื่อดังจากรายการ Iron Chef คุณจิ๊บ เล่าถึงแคมเปญนี้ว่า ย้อนกลับไปเมื่อ 15 ปีก่อน ยังไม่มีแบรนด์ไหนเลยที่ดึงเอาเชฟดังๆ มาคอลแลบฯ ด้วย เรียกได้ว่าร้านอาหารเชนโออิชิเราเป็นแบรนด์แรกเลยที่ทำสิ่งนี้

“เราตั้งเป้าหมายสูงที่สุดว่าอยากได้เชฟซาไก ซึ่งตอนนั้นดังมาก ด้วยความช่วยเหลือจากสำนักงานใหญ่ของเราในญี่ปุ่น เราจึงติดต่อได้และชวนให้เชฟซาไก มารังสรรค์เมนูให้กับคนไทยได้ชิม” คุณจิ๊บเล่าถึงการดึงพลังผ่านความเป็นเอเจนซีเน็ตเวิร์คที่ครอบคลุมหลายประเทศ

 

 

ขณะที่คุณแซมเสริมว่า การเปิดตัวในวันนั้นก็ยิ่งใหญ่ เรียกเสียงฮือฮาเซอร์ไพรส์ให้กับทุกคนได้ เรามีไอเดียเหมือนการเปิดตัวเชฟซาไก แบบที่สตีฟจ็อบเปิดตัว iPhone ซึ่งเป็นโมเมนต์สุดว้าว! ที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน นับเป็นอีกหนึ่งแคมเปญที่ทาง Spa-Hakuhodo ทำให้เราเป็นแบรนด์ที่น่าจดจำที่สุดของคนไทย

 

การเข้าหา Gen Z ด้วยแคมเปญ #สกายนานิ

อีกหนึ่งแคมเปญที่บอกได้เลยถึงเคมีของลูกค้าและเอเจนซี่คู่นี้คือ แคมเปญ #สกายนานิ คู่จิ้นของสายวาย ซึ่งทางคุณแซมยอมรับว่าท้าทายมาก ล่าสุด เราทำแคมเปญรีครูท Gen Z ซึ่งเป็นเรื่องยากมาก เพราะ Gen Z มีความเป็นตัวตนสูง มีอินไซต์ของเขาเอง และแบรนด์เองก็ห่างกับ Gen Z ค่อนข้างไกล จนเรามี แคมเปญ #สกายนานิ ซึ่งใช้พรีเซนเตอร์จากวายซีรีส์ ซึ่งไม่เคยอยู่ในความคิดเลยว่าเราจะใช้กลุ่มนี้ แต่ทาง Spa-Hakuhodo ก็ได้พาแบรนด์เข้าใกล้ Gen Z ด้วยคอนเทนต์ที่เข้าถึง younger generation  ก็นับเป็นเรื่องที่ท้ายสำหรับแบรนด์มากทีเดียว

“สุดท้ายมันเวิร์กมาก เพราะตัวตนของพวกเขาเป็นเชิงมิตรภาพ ตรงกับ DNA ของเรา เราสร้างมิตรภาพกับ Gen Z ให้มาเป็นเพื่อนกัน ดูแลซึ่งกันและกัน ซึ่งทำให้เขาชื่นชมว่าเราเอาคนที่เขารักมาสนับสนุน ผลคือจากที่แบรนด์เราขาดหายไปในตลาดนาน ล่าสุดเราได้รับผลโหวตติดอันดับ Top 10 ในแบรนด์ที่คนนึกถึง อยู่ที่อันดับ 8 เด็กรุ่นใหม่เริ่มพูดถึงเราเยอะขึ้นในกระแสโซเชียล”

 

เคล็ดลับความสำเร็จของความสัมพันธ์อันยาวนาน

 

 

เมื่อถามถึงการร่วมงานกับลูกค้าที่อยู่มานานมีเคล็ดลับอะไรที่ทำให้รู้สึกสดใหม่อยู่เสมอ คุณจิ๊บ เผยเคล็ดลับที่คาดไม่ถึงว่า ให้ทำตัวเหมือนกับภรรยาที่สวยและเซ็กซี่อยู่ตลอดเวลา!

“เวลาเราดูแลแบรนด์มานานๆ มันเหมือนกับเราแต่งงานกันมานาน แต่เราอย่าเป็นเมียแก่ที่น่าเบื่อ แต่ต้องเป็นเมียที่สวยและเซ็กซี่อยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นเวลาเราคิดอะไร เราก็จะพยายามคิดอะไรที่ใหม่ ให้ลูกค้าว้าว ให้ลูกค้าตื่นเต้นตลอดเวลา เมื่อเราบอกตัวเองให้เป็นอย่างนี้ ก็จะไม่มีเวลาให้เราเบื่อ เราก็จะพร้อมที่จะพัฒนาและคิดตลอดเวลา”

ตอกย้ำความสำเร็จเรื่องนี้ โดยคุณแซมยืนยันว่า ทีมของ Spa-Hakuhodo ทำให้ผมตื่นเต้นได้ตลอดทุกปีเลย ทุกครั้งที่เราทำงานร่วมกัน เขาจะมีเรื่องราวใหม่ๆ มานำเสนอตลอด ทั้งๆ ที่เราอยู่กันมานานอาจจะคิดว่ามีแต่เรื่องเดิมๆ หรือเปล่า แต่ไม่เลย เพราะเอเจนซี่แห่งนี้พาเราไปคิดนอกกรอบทำให้การทำงานทุกครั้งเราไม่เคยรู้สึกเบื่อเลยแม้แต่ครั้งเดียว”

 

ความท้าทายในตลาดร้านอาหาร แต่ด้วยพลังพาร์ทเนอร์ที่ดี พา โออิชิกรุ๊ป ยืนหนึ่ง

 

 

อย่างที่ทราบกันดีว่าธุรกิจร้านอาหารในไทยแข่งขันกันเดือดและรุนแรงมาก แต่ โออิชิ ก็ยังยืนหนึ่งและอยู่มาได้อย่างยาวนานเป็นแบรนด์หนึ่งในใจผู้บริโภคมาตลอด ซึ่งเราขอสรุป 3 องค์ประกอบสำคัญ ในการทำงานร่วมกันระหว่าง โออิชิกรุ๊ป และ Spa-Hakuhodo จนทำให้ประสบความสำเร็จ ได้แก่

  1. ความเข้าใจผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง – ผู้บริโภคปัจจุบันมีการหาข้อมูลต่างๆ มากมาย ไม่เฉพาะแค่ข้อมูลในไทยแต่เป็นข้อมูลจากทั่งโลก ซึ่งจุดนี้เองเราต้องเข้าใจพวกเขาให้ดี และทางเอเจนซี่เองก็มีการศึกษาและทำความเข้าใจไม่แพ้กัน โดยนอกจาก Sei-katsu-sha ที่ทาง Hakuhodo ยึดถือแล้ว ล่าสุดทาง Spa-Hakuhodo มียูนิตที่เรียกว่า Human Lab ที่ทำหน้าที่วิเคราะห์ผู้บริโภคในเชิงลึก ผ่านเครื่องมือต่าง ๆ รวมถึง AI ซึ่งช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์และพัฒนาแคมเปญได้อย่างแม่นยำมากขึ้น

2.การวางกลยุทธ์ทางการตลาดที่เหนือชั้น – หลายสิ่งถูกดิสรัพท์อย่างรวดเร็ว เพราะโลกเปลี่ยนแปลงไป แต่สิ่งที่ทำให้ โออิชิ ไม่ถูกกลืน แล้วยังสามารถเอาชนะตลาดได้ ส่วนหนึ่งมาจากการวางเกมการตลาดที่ทางแบรนด์จับมือกับ Spa-Hakuhodo ร่วมกันคิดค้นพลิกแพลงทุกวิธีการต่างๆ เพื่อให้สามารถเข้าไปอยู่ในใจของผู้บริโภคให้ได้

  1. การทำงานใกล้ชิดจนเหมือนเป็นเนื้อเดียวกัน – โดยทั้งแบรนด์และเอเจนซี่ มองว่านี่คือคีย์ที่สำคัญที่สุด คือทำงานเป็นทีมเดียวกัน โดยไม่ได้แบ่งแยกว่านี่คือลูกค้า นี่คือเอเจนซี่ แต่ทำงาน As a One Team เลย

“การทำงานร่วมกับ Spa-Hakuhodo ทำให้ผมรู้สึกเหมือนพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของทีม เพราะเราทำงานกันแบบ 24/7 พร้อมให้บริการตลอดเวลา เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของพนักงานเราเลยก็ว่าได้ นี่คือเหตุผลที่ทำไมเราถึงทำงานกับทีมนี้อย่างยาวนาน” คุณแซม กล่าวย้ำในจุดนี้

 

 

ในขณะที่คุณจิ๊บ กล่าวเสริมว่า นอกจากนี้ เรายังได้รับการซัพพอร์ตจากเครือข่ายของ Hakuhodo ทั่วโลกด้วย โดยเฉพาะจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งช่วยให้เราสามารถหาโอกาสและความเป็นไปได้ทำให้เกิดขึ้นได้ และนำมาต่อยอดให้กับแบรนด์ของเรา แต่ขณะเดียวกัน สิ่งหนึ่งที่เราชื่นชมในตัวของลูกค้าคือมาตรฐานที่คงคุณภาพไว้ได้เสมอซึ่งเป็นจุดแข็งแกร่งของแบรนด์

ถ้าพูดในมุมของเอเจนซี่ สิ่งที่ทำให้แบรนด์ประสบความสำเร็จคือคุณภาพ โออิชิ มีจุดยืนที่แข็งแรงเรื่องคุณภาพเสมอ แต่สิ่งสำคัญคือการพัฒนาจุดยืนนั้นให้ผันแปรไปพร้อมกับตลาด ไปพร้อมกับโลก ไปพร้อมกับผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป จึงทำให้ยืนหนึ่งมาได้ตลอด”

 

Key success ของการสร้างพาร์ทเนอร์ชิปที่ดี  

มาถึงจุดนี้แล้ว ตลอด 10 ปี แต่ละท่านก็มีมุมมอง Key success ในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแบรนด์และลูกค้าในการจับมือกันสู่ความสำเร็จอย่างไร โดยคุณแซมในฝั่งของลูกค้า บอกว่า สำหรับเราเอเจนซี่คือการมาช่วยเติมเต็มความสำเร็จของเราได้ เป็นจิ๊กซอว์ตัวสำคัญในการทำให้ธุรกิจมีผลประกอบการที่ดีขึ้น โดยสิ่งสำคัญที่สุดคือ

  • Trust และ Openness ซึ่งก็คือการที่ต้องไว้ใจกัน เชื่อใจกัน และเปิดใจทำความเข้าใจกัน
  • เอเจนซี่ต้องเข้าใจธุรกิจเราจริงๆ ไม่ใช่แค่รับบรีฟแล้วส่งงานกลับมา คุณต้องเข้ามานั่งในฐานะตัวแทนของธุรกิจ คิดว่าถ้าเป็นคุณ คุณจะทำยังไงให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ
  • Partnership แท้จริง เราต้องลงเรือลำเดียวกัน ถ้าเราไม่รอด เขาก็ไม่รอด เราต้อง honest กัน ถ้าคิดทุกอย่างเป็น commercial ทั้งหมด งานจะไปได้ยาก โอกาสประสบความสำเร็จจะน้อย

ขณะที่มุมของ คุณจิ๊บ ในฝั่งเอเจนซี่ระบุถึง 4 ข้อที่สำคัญ ได้แก่

  • Consistency (ความสม่ำเสมอ) – ถ้าวันแรกเราทำให้ลูกค้าตื่นเต้น เราต้องรักษามาตรฐานนั้นไว้ได้ตลอด ไม่ว่าเราจะต้องทุ่มเทยังไง
  • Initiative (ความริเริ่ม) – การที่เราเป็นเอเจนซี่ เรารู้เชิงกว้าง เห็นภาพตลาด เห็นภาพผู้บริโภคมากกว่า เพราะฉะนั้นทุกโอกาสที่เรามองเห็นได้มากกว่า เราก็พยายามช่วยคิดและนำเสนอ ไม่รอให้ลูกค้าขอมา
  • Honesty (ความซื่อสัตย์) – เวลาเราทำงานให้แบรนด์ เราต้องมีความซื่อสัตย์กับคุณภาพงาน ซื่อสัตย์กับลูกค้าของเรา เหมือนที่โออิชิซื่อสัตย์กับลูกค้าของโออิชิ
  • Love and Loyalty (ความรักและความจงรักภักดี) – นี่เป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุด เมื่อเรารักอะไรสักอย่าง เราก็จะมีพลังที่จะทำสิ่งนั้นให้ดี

“สิ่งที่เราพยายามให้ความสำคัญคือการสร้าง mindset ในการทำงานระหว่างการเป็นพาร์ทเนอร์ คำว่าพาร์ทเนอร์ชิปคือคำที่ใหญ่มากสำหรับเรา ธุรกิจต้องเติบโตไปด้วยกัน ถ้าเขาดีเราก็ดี ถ้าลูกค้าประสบความสำเร็จ เราก็ประสบความสำเร็จ” คุณจิ๊บกล่าวย้ำเรื่องนี้

 

DNA แห่งความสำเร็จของ Spa-Hakuhodo “‘Sei-katsu-sha’

ทั้งหมดนี้แม้จะฟังดูเป็นเรื่องพื้นฐานทั่วไป แต่ไม่ง่ายเลยกับการรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างลูกค้าและเอเจนซี่ที่จะจับมือกันประสบความสำเร็จมาได้ยาวนานกว่า 10 ปี สิ่งที่เกิดขึ้นคุณจิ๊บย้ำว่ามันเกิดจากดีเอ็นเอที่เป็นหัวใจสำคัญของ Hakuhodo นั่นคือปรัชญาที่เรียกว่า ‘Sei-katsu-sha’

Sei-katsu-sha เป็นปรัชญาของ Hakuhodo ที่แปลว่า “Life Living Person” ซึ่งโดยปกติจะมองผู้บริโภคในมิติของการคอนซูมสินค้าเท่านั้น แต่ ‘Sei-katsu-sha’ สอนให้เรามองผู้บริโภคเป็นมนุษย์หนึ่งคนที่มีความต้องการหลากหลาย มีมิติที่หลากหลาย การเอา ‘Sei-katsu-sha’ มาเป็น พื้นฐานหลักในการคิดงานทุกงาน มันทำให้งานเรามีอินไซต์ถึงความต้องการของลูกค้ามากขึ้น

นอกจากนี้ เราคิดว่ายังมีอีกสิ่งนั่นคือ “ความกล้าและความไว้ใจ” บางทีมันไม่น่าจะคิดได้ เอเจนซี่ก็ไม่น่ากล้าที่จะบ้าคิดแบบนี้ และลูกค้าก็ไม่น่ากล้าที่จะซื้องาน ดังนั้น มันคือความกล้าและความไว้ใจที่เรามีให้กันและกัน ไม่ใช่แค่ลูกค้าไว้ใจเอเจนซี่ เอเจนซี่ก็ต้องไว้ใจว่าสิ่งที่เราคิดมันไม่เสียเปล่า เพราะเราเชื่อว่าลูกค้าจะทำมันจริง พอเราไม่มีพันธนาการเรื่องนี้ มันก็ทำให้สิ่งที่เราคิดไปได้ไกลกว่าปกติ

 

แง่คิดสำหรับอนาคต การรักษาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างลูกค้าและเอเจนซี่

 

 

ท้ายที่สุด เราให้ทั้งสองท่านได้สรุปความสัมพันธ์ของการทำงานร่วมกัน รวมไปถึงสิ่งที่จะจับมือกันก้าวต่อไปในอนาคตด้วย โดยคุณจิ๊บบอกว่า แน่นอนว่ายิ่งเราเป็นพาร์ทเนอร์กันนานเท่าไหร่ ยิ่งมีพื้นฐานความเข้าใจกันมากขึ้นเท่านั้น แต่สิ่งที่เราจะต้องไม่ละเลย คือทำอย่างไรให้เราเป็นเอเจนซีที่น่าตื่นเต้น ทำยังไงให้มาตรฐานงานของเราดีคงที่แล้วก็มีสิ่งใหม่ ๆ ตลอดเวลา เพราะว่าคนในธุรกิจเอเจนซี่ไม่ได้มีความต่างกันมาก โนว์ฮาวก็วนเวียนอยู่แบบเดิมๆ แต่สิ่งที่เราพยายามให้ความสำคัญคือการสร้างมายด์เซ็ตในการทำงานระหว่างการเป็นพาร์ทเนอร์ มันต้องเติบโตไปด้วยกัน

ขณะที่คุณแซมกล่าวว่า ความสำเร็จของความสัมพันธ์ระยะยาวระหว่างแบรนด์กับเอเจนซี่ไม่ได้จบเพียงแค่การทำงานร่วมกันได้ดี แต่ต้องมีการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง เพราะผู้บริโภคเปลี่ยนไป ธุรกิจก็ต้องเปลี่ยนตาม สูตรสำเร็จในอดีตไม่สามารถนำมาใช้ซ้ำได้ ทุกฝ่ายต้องทำงานหนักขึ้นเรื่อยๆ และที่สำคัญคือต้องมีพื้นฐานของความรักและความจงรักภักดีต่อแบรนด์ เพราะเมื่อรักสิ่งใด ก็จะมีพลังที่จะทำให้สิ่งนั้นดีขึ้น การเป็นพาร์ทเนอร์ที่แท้จริงต้องเติบโตไปด้วยกัน โดยไม่ได้แตกต่างกันที่โนว์ฮาว แต่ต่างกันที่มายด์เซ็ตในการทำงาน

จากการสนทนาครั้งนี้ เราได้เห็นภาพความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์และเอเจนซี่ที่เข้มแข็งและยั่งยืน ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่ข้ามคืน แต่สร้างมาจาก ความไว้วางใจและความซื่อสัตย์ ที่มีต่อกันและกัน การเข้าใจธุรกิจอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่รับบรีฟและส่งงาน ความกล้า ที่จะคิดนอกกรอบและทำสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำ การลงมือทำจริง ไม่ว่าจะเป็นการลงตลาด ศึกษาผู้บริโภค หรือแก้ปัญหาร่วมกัน และที่สำคัญคือแพสชั่นและคำมั่นที่มีต่อแบรนด์และต่อความสำเร็จร่วมกัน โดยที่ไม่มีการหยุดพัฒนา เพราะผู้บริโภคเปลี่ยน ตลาดเปลี่ยน เราก็ต้องเปลี่ยนด้วย

ดังนั้น กว่า 10 ปี ของโออิชิกรุ๊ปและ Spa-Hakuhodo เป็นเรื่องราวที่สะท้อนให้เห็นว่า พาร์ทเนอร์ชิปที่แท้จริงไม่ได้วัดจากระยะเวลา แต่วัดจากความสำเร็จที่สร้างขึ้นมาร่วมกัน จากความไว้วางใจที่มีต่อกัน และจากการที่ทั้งสองฝ่าย ‘ลงเรือลำเดียวกัน’ As a one team อย่างแท้จริง

 


  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
CLOSE
CLOSE