บริษัท Skechers แบรนด์รองเท้าอันดับสามของโลกที่มีชื่อเสียงด้านเทคโนโลยีความสบาย ได้ประกาศก้าวสำคัญครั้งใหม่ด้วยการตกลงขายกิจการให้กับบริษัทการลงทุนระดับโลก 3G Capital มูลค่า 9.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 340,000 ล้านบาท คิดเป็นราคาหุ้นละ 63 ดอลลาร์ สูงกว่ามูลค่าปัจจุบันในตลาดถึง 30% ซึ่งจะทำให้ Skechers กลับมาเป็นบริษัทเอกชนอีกครั้ง หลังจากอยู่ในตลาดหลักทรัพย์มายาวนานเกือบ 26 ปี
ทำไม Skechers ถึงตัดสินใจก้าวลงจากตลาดหุ้น?
การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบายภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งบังคับใช้ภาษีนำเข้ารองเท้าจากจีนสูงถึง 145% และจากประเทศอื่นๆ ขั้นต่ำ 10% ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออุตสาหกรรมรองเท้าในสหรัฐฯ ที่พึ่งพาการผลิตจากต่างประเทศถึง 99% รวมถึง Skechers ที่ผลิตสินค้าทั้งหมดในต่างประเทศ โดยมีสัดส่วนประมาณ 40% มาจากจีน โดยเฉพาะรองเท้าเด็กที่ผลิตในจีนเกือบทั้งหมด
แม้ Skechers จะร่วมกับแบรนด์ยักษ์ใหญ่อย่าง Nike และ Adidas ส่งจดหมายถึงทรัมป์เพื่อขอข้อยกเว้นภาษี พร้อมเตือนว่าภาษีดังกล่าวจะกระทบต่อผู้บริโภคโดยตรงจากราคาสินค้าที่สูงขึ้น และอาจทำให้หลายธุรกิจต้องปิดตัวลง แต่นั่นก็ไม่อาจหยุดยั้งความไม่แน่นอนที่ถาโถมเข้ามาได้
ความเชื่อมั่นจาก 3G Capital
แม้จะอยู่ท่ามกลางพายุการค้า แต่ 3G Capital กลับมองเห็นโอกาสใน Skechers และแสดงความสนใจในการเข้าซื้อกิจการมายาวนานก่อนหน้านี้แล้ว “Skechers เป็นแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์ นำโดยผู้ก่อตั้ง มีประวัติการเติบโตและนวัตกรรมที่แข็งแกร่ง” กล่าวโดย Alex Behring และ Daniel Schwartz ผู้บริหารร่วมของ 3G Capital
หลังการเข้าซื้อขายเสร็จสิ้นในไตรมาส 3 ของปี 2025 Skechers จะยังคงดำเนินกลยุทธ์เดิมต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ชนะรางวัล การขยายธุรกิจต่างประเทศ การลงทุนด้านเทคโนโลยี และการเติบโตในตลาดค้าส่ง โดยทีมผู้บริหารชุดเดิมนำโดย Robert Greenberg ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ จะยังคงอยู่ครบถ้วน และบริษัทจะยังตั้งอยู่ที่ Manhattan Beach รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ Skechers มาตลอดกว่า 30 ปี
Skechers กับการเติบโตระดับโลก
Skechers ถือเป็นหนึ่งในบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคที่นำโดยผู้ก่อตั้งรายใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยยอดขายต่อปีราว 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มีร้านค้าแบรนด์ตัวเองกว่า 5,300 แห่งใน 180 ประเทศทั่วโลก จุดแข็งของแบรนด์อยู่ที่ความสามารถในการออกแบบรองเท้าที่ผสานทั้งความสบาย คุณภาพ และราคาที่เข้าถึงได้ จนได้รับฉายาว่าเป็น “Comfort Technology Company”
แม้จะเผชิญแรงกดดันจากสงครามการค้า แต่ Skechers ยังคงรักษาความได้เปรียบในตลาดโลก โดยกว่า 2 ใน 3 ของรายได้มาจากตลาดต่างประเทศ ทำให้ผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ ไม่รุนแรงเท่ากับบางแบรนด์
