ไม่รู้ว่าแค่บังเอิญ หรืออยากลอง copy ไอเดียดู หลังจากที่บ้านเรามีประเด็นดราม่าเรื่อง ‘แท็กซี่เก็บค่าสัมภาระกระเป๋า’ ราคาเริ่มต้น 20 บาทขึ้นไป (ไม่เกิน 100 บาท) สำหรับการเรียกแท็กซี่จากท่าอากาศยานดอนเมือง หรือ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ข้อบังคับนี้รวมไปถึง การเรียกรถจากสถานที่อื่น ไปยังท่าอากาศยานดอนเมือง หรือท่าอากาศยานสุวรรณภูมิด้วย
กระแสดราม่านี้ยังไม่ทันซาไป ก็มีข่าวจากสายการบินโลว์คอสต์สัญชาติอังกฤษ ‘EasyJet’ ที่ประกาศว่า เตรียมจะเก็บค่าสัมภาระที่ติดตัว ‘ขึ้นเครื่องโดยสาร’ ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ. 2021 เป็นต้นไป โดยค่าใช้จ่ายจะเก็บเพิ่มจากตั๋วบิน ประมาณ 7.99 ปอนด์ ถึง 29.99 ปอนด์ต่อเที่ยว (ราว 345-1,200 บาท) ซึ่งจะขึ้นอยู่กับขนาดสัมภาระของผู้โดยสาร
EasyJet ได้อธิบายว่า การใช้มาตรการดังกล่าวนี้จะช่วยให้สายการบินสามารถรักษาเวลาบินได้ตรงเวลา เพราะไม่ต้องเสียเวลาไปกับการเก็บสัมภาระเหนือศรีษะ ซึ่งกระแสสื่อโซเชียลในอังกฤษยังแรงจนถึงตอนนี้ (หลังประกาศเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.)
อย่างไรก็ตาม Robert Carey ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการพาณิชย์และลูกค้า ยืนยันว่า ผู้โดยสารจะยังสามารถโหลดกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ลงใต้เครื่องบิน FREE 1 ใบเช่นเดิม ซึ่งเป็นสิทธิพิเศษของสายการบิน ส่วนกระเป๋าถือใบเล็ก (ขนาดไม่เกิน 56 x 45 x 25 ซม.)
ถ้าลองเทียบกับสายการบินอื่นในอังกฤษ เช่น British Airways หรือสายการบินในหลายๆ ประเทศยุโรป ยังไม่มีสายการบินไหนที่ใช้มาตรการดังกล่าวนี้ ซึ่งกระแสในโซเชียลได้พูดถึง ‘ความเอาเปรียบ’ ของสายการบินในช่วงที่โลกกำลังกฤติ ขณะที่ผลประกอบการของ EasyJet ขาดทุนครั้งแรกในรอบ 25 ปี (ในเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา) อีกทั้งเที่ยวบินในช่วงฤดูหนาว (ซึ่งเป็น high season ในยุโรป) ยังลดลงถึง 80% ท่ามกลางความกังลเรื่องการระบาดของไวรัส COVID-19
นักการตลาดวิเคราะห์กันว่า ในช่วงที่สายการบินยังคงวิกฤต และอนาคตของธุรกิจการบินก็ยังมองไม่เห็นทางเติบโตที่ชัดเจน สายการบินไม่ควรปรับเปลี่ยนมาตรการ หรือนโยบายที่ทำให้ผู้บริโภคไม่พอใจ เพราะนั้นจะหมายถึงการลดคุณค่าของแบรนด์ไป
ที่มา: theguardian