กระแสความฮิตของอีคอมเมิร์ซตลอดปี 2563 ทำให้ธุรกิจโลจิสติกส์ เติบโตและประสบความสำเร็จตามไปด้วย ผู้ให้บริการส่วนใหญ่รายล้วนได้รับอานิสงส์จากเรื่องนี้ จนสถิติการขนส่งเติบโตหลายเท่าตัว รวมถึง ‘Flash Express’ (แฟลช เอ็กซ์เพรส) ที่ออกมาประกาศความสำเร็จในบทบาท ‘ขนส่งแบรนด์ไทยที่คุ้มค่าที่สุดในตลาด’
คุณคมสันต์ ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัด เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจปี 2563 ว่า อุตสาหกรรมขนส่งในปีที่ผ่านมาถือว่าเติบโตได้ค่อนข้างน่าพอใจ แม้ว่าสถานการณ์ COVID -19 จะส่งผลทำให้สภาพเศรษฐกิจทั่วโลกต้องเผชิญภาวะถดถอย ผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซต่างงัดกลยุทธ์ทั้งด้านราคาและบริการออกมาดึงดูดใจผู้บริโภค และจากปริมาณการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ทำให้ปีที่ผ่านมาบริษัทมียอดส่งรวมทั้งปี 300 ล้านชิ้น เติบโตขึ้น 500% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนมากกว่า 6,000 ล้านบาท ทำให้ Flash Express กลายเป็น Top 3 ของธุรกิจโลจิสติกส์ กับระยะทางขนส่งราว 230 ล้านกิโลเมตร
แม้ว่าปี 2563 จะมีการคาดการณ์ตลาดอีคอมเมิร์ซว่ามีมูลค่ากว่า 220,000 ล้านบาท หรือเติบโต 35% ซึ่งเป็นเพียง 3% ของตลาดค้าปลีกในไทยเท่านั้น แต่แนวโน้มปี 2564 อีคอมเมิร์ซก็ยังมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น Flash Express จึงคาดการณ์รายได้ในปี 2564 ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 10,000 ล้านบาท กับจำนวนพัสดุเฉลี่ย 2 ล้านชิ้นต่อวัน เติบโตจากเดิมที่ 1.3 ล้านชิ้นต่อวัน
คุณคมสันต์ กล่าวอีกว่า ความท้าทายและการแข่งขันของธุรกิจขนส่งพัสดุ มีอยู่ 3 เรื่อง คือ ราคา คุณภาพ และความคุ้มค่าในการให้บริการ แต่สิ่งสำคัญที่ผู้ให้บริการต้องโฟกัส คือ ความรวดเร็วในการจัดส่งสินค้าเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้บริการมากที่สุด ดังนั้น Flash Express จึงเตรียมรับความท้าทายด้วยการลงทุนเพิ่ม 10,000 ล้านบาท ทั้งด้าน Infrastructure เช่น การขยายจุดกระจายสินค้า โดยเน้นพื้นที่ต่างจังหวัดมากขึ้น การเพิ่มคลังคัดแยกพัสดุ และศูนย์กระจายพัสดุ รวมถึงการเพิ่มจุด Drop Off รับส่งพัสดุทั่วประเทศ ที่ได้ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจในหลายอุตสาหกรรม ตลอดจนการลงทุนด้านบุคลากรเพื่อสรรหาคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถเข้ามาร่วมในธุรกิจ และประเด็นสำคัญคือการลงทุนและพัฒนาด้าน Digital Platform เพื่อสอดรับกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจและอีคอมเมิร์ซที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ Flash Express ยังวางแผนการให้บริการ Same day และ Next day รวมถึงการขยายบริการไปยังกลุ่มต่างประเทศ ซึ่งจะแบ่งเป็น 3 เฟสภายใน 5 ปี โดยเฟสแรกจะเริ่มต้นภายในไตรมาส 1 ของปีนี้ ด้วยการรุกตลาด CLMV ส่วนเฟสที่ 2 จะรุกกลุ่ม ASEAN โดยเฉพาะสิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ตามด้วยการขยายธุรกิจไปยัง SEA เพื่อให้สมกับการเป็นผู้ให้บริการด้านขนส่งพัสดุสัญชาติไทย รวมถึงการเฟ้นหาพันธมิตรทั้งในไทยและต่างประเทศเพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคในยุค New Normal อีกด้วย
