สถานการณ์ที่ผู้คนไม่สามารถออกไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ รวมถึงหลายสถานที่จำเป็นต้องปิดเพราะเหตุผลความปลอดภัยด้านโรคระบาด โลจิสติกส์ จึงกลายเป็นหนึ่งตัวแปรสำคัญในการดำเนินชีวิตของผู้คน หลังจากหลาย ๆ สถานที่ต้องปิด ผู้บริโภคต้องหันมาซื้อสินค้าผ่านออนไลน์ เหล่าผู้ให้บริการต้องแข่งขันอย่างดุเดือดทั้งราคา ความเร็ว และขยายจุดรับส่งให้มากขึ้นเพื่อช่วงชิงลูกค้า ขณะเดียวกัน ก็ต้องรับมือผู้เล่นรายใหม่อย่าง FUZE POST (ฟิ้วซ์ โพสต์) ที่จะเข้ามาให้บริการ Cold Chain Express ซึ่งเริ่มต้นชิมลางให้บริการวันนี้เป็นวันแรกด้วย
มูลค่าตลาด Cold Chain Express หลายหมื่นล้านบาทต่อปี
ธุรกิจ Cold Chain Express หรือขนส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิแบบด่วน เป็นอีกธุรกิจที่มีการเติบโตทุกปี มีกลุ่ม B2C และ C2C เป็นลูกค้าหลัก โดยปี 2564 ถูกคาดการณ์มูลค่าในประเทศไทยที่ 34,000 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโตราว 8% แต่คิดเป็นเพียง 5% ของภาพรวมโลจิสติกส์ เนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคในการซื้อหาสินค้าทางการเกษตร อาหารสด อาหารแช่แข็ง รวมถึงยาและเวชภัณฑ์ จึงมีการคาดการณ์ว่า Cold Chain Express อาจเติบโต 8-10% ต่อเนื่องไปอีก 3-5 ปีจากนี้ ซึ่งตัวเลขจากการเติบโตเช่นนี้ก็ที่ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะสถานการณ์ปัจจุบันทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนและคุ้นชินกับการซื้อผ่านออนไลน์ไปแล้ว ดังนั้น การเติบโตของชอปปิ้งออนไลน์หรือโซเชียลคอมเมิร์ซ จะส่งผลให้โลจิสติกส์รวมถึงการขนส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิเติบโตต่อเนื่องทุกปี ก็เป็นประเด็นที่สมเหตุสมผล
ประเด็นที่น่าสนใจ คือ รูปแบบการเติบโตของธุรกิจโลจิสติกส์ในช่วง COVID-19 ซึ่งในมุมมองผู้บริโภคอาจมองว่าเป็นการเติบโตทั้งแง่ปริมาณและมูลค่า แต่ในมุมมองของผู้ให้บริการนั้น พบว่ามีการเติบโตเชิงปริมาณจริงแต่ไม่ได้สูงกว่าการให้บริการตามปกติอย่างมีนัยยะ หากแต่มีการเปลี่ยนแปลงในประเภทพัสดุที่ถูกจัดส่งมากกว่า ซึ่งจากเดิมอาจเป็นสินค้าแฟชันเป็นหลัก แต่ปัจจุบัน เป็นสินค้าอุปโภคบริโภคมากขึ้นและมีมูลค่าการสั่งซื้อลดลงตามสภาวะเศรษฐกิจ ขณะที่ Cold Chain Express เอง ก็เป็นธุรกิจที่มีอยู่แล้ว แต่มีความต้องการใช้งานมากขึ้นในช่วงนี้
FUZE POST เปิดตัวทางการ 1 ก.ย. – ตั้งบริษัทร่วมทุน เสร็จสิ้นต้นปีหน้า
การเข้ามาของ FUZE POST นั้น เป็นความร่วมมือระหว่าง 3 โลจิสติกส์ คือ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด, บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัด ซึ่งแต่ละบริษัทประกาศนำความแข็งแกร่งแต่ละด้านของตนเองมาผนึกกำลังกัน เพื่อทำให้ FUZE POST กลายเป็น Cold Chain Express ที่ตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการจัดส่งและได้รับสินค้าควบคุมอุณหภูมิอย่างมีคุณภาพ โดยแบ่งการดำเนินงานจากจุดแข็งของแต่ละองค์กร เช่น
ไปรษณีย์ไทย: เป็นแบรนด์ที่ให้บริการมายาวนาน คนไทยคุ้นเคยเป็นอย่างดี มีจุดรับส่งสินค้า มีเครือข่ายขนส่งครอบคลุมทั่วประเทศ และชำนาญการจัดส่งแบบ Door to Door โดยมีบุรุษไปรษณีย์กว่า 20,000 คน ที่เชี่ยวชาญพื้นที่ทั่วประเทศไทย
JWD: ดำเนินธุรกิจด้าน Cold Chain Logistics & Supply Chain มา 25 ปี จึงมีประสบการณ์และเทคโนโลยีด้านบริหารจัดการสินค้าควบคุมอุณหภูมิ ทั้งคลังจัดเก็บและการกระจายสินค้า คลังคัดแยก เทคโนโลยีกล่องควบคุมอุณหภูมิ และรถขนส่งสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิ
Flash Express: เป็นผู้วางระบบ Cold Chain Management System นำเทคโนโลยีระบบมาตอบโจทย์และแก้ปัญหาต่าง ๆ รวมถึงนำระบบคลาวด์เข้ามาคำนวณ เชื่อมระบบปฏิบัติการเข้ากับการทำงาน และจัดการคำสั่งซื้อได้ตั้งแต่ผู้ส่งจนสินค้าถึงมือผู้รับ
โดยแบรนด์ FUZE POST ใช้สัญลักษณ์ตัว Z ที่สื่อถึงการรวมผู้นำด้านการขนส่ง 3 องค์กร ด้วยการผสมสี 3 สีเข้าด้วยกัน คือ สีฟ้า จากสีของ JWD, สีเหลือง จากสีของ Flash Express, สีแดง จากสีของไปรษณีย์ไทย และใช้สีน้ำเงิน เพื่อสื่อถึงความเย็นซึ่งเป็นหัวใจหลักของ FUZE POST ด้วย
ตามกำหนดการ FUZE POST เริ่มให้บริการในวันที่ 24 ส.ค. 2564 ตั้งแต่ 15.00 น. เป็นวันแรก โดยนำร่องพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ด้วยบริการ Direct Pick-up ผ่าน www.fuzepost.co.th และจะให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ก.ย.นี้ โดยเพิ่ม 6 เส้นทาง คือ หนองคาย, เชียงใหม่, สุราษฎร์ธานี, ภูเก็ต, ตราด และบางละมุง ก่อนจะขยายรูปแบบสู่บริการจุดรับฝาก เพื่อให้บริการทั่วประเทศและขนส่งระหว่างภูมิภาค ซึ่งคาดว่าจะพร้อมเปิดบริการในเดือน ม.ค. 2565
สำหรับเป้าหมายของ FUZE POST ไม่ใช่แค่การให้บริการครอบคลุมทั่วไทย แต่ยังมองถึงการทำตลาดต่างประเทศ ซึ่งวางเป้าหมายขยายบริการไปยังประเทศลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม โดยลูกค้าหลักของ FUZE POST ในเฟสแรก คือ กลุ่มผู้ค้าทางอีคอมเมิร์ซ ร้านค้าบนโซเชียลคอมเมิร์ซ รวมถึง เชนร้านอาหารที่มีการจัดส่งอาหาร ของสด ของแช่แข็ง กับภาพลักษณ์การเป็นบริการพื้นฐานของ Cold Chain Express สำหรับผู้ขายและร้านค้า เรียกว่าตอบโจทย์ทั้ง B2B B2C และ C2C ซึ่งคาดว่าจะมีลูกค้าหลักพันรายภายในเฟสแรกที่เปิดบริการ ส่วนการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนนั้น คาดว่าจะเสร็จสิ้นในช่วงต้นปี 2565
ส่วนรูปแบบการให้บริการ FUZE POST จะแบ่งการดำเนินงาน ดังนี้
การรับสินค้า ในช่วงแรกจะเน้นให้บริการแบบ Direct Pick-up กับลูกค้าเดิมของไปรษณีย์ไทย และ JWD ก่อนจะเปิดให้บริการจุดรับฝากผ่านสาขาในปี 2565
การขนส่งสินค้า จะแบ่งเส้นทางกันระหว่างไปรษณีย์ไทย และ Flash Express
คลังสินค้า ทั้งส่วนภูมิภาคและส่วนกลางจะใช้ศูนย์กระจายสินค้าของทั้ง 3 องค์กร ในการให้บริการ Sorting – Fulfillment และเป็นศูนย์พักสินค้าสำหรับการขนส่งระยะทางไกล
การขนส่งสินค้า Last Mile จะแบ่งเส้นทางกันระหว่างไปรษณีย์ไทย และ Flash Express
อย่างไรก็ตาม จากวิสัยทัศน์ของ FUZE POST วิเคราะห์ว่า ปัจจุบันประเทศไทยยังมีผู้ให้บริการ Cold Chain Express เพียงไม่กี่ราย ยังไม่มีรายใดเป็นเจ้าตลาดอย่างแท้จริง ซึ่ง FUZE POST ตั้งเป้าหมายขึ้นเป็นผู้นำในอนาคต โดยเชื่อว่าจุดแข็งของการรวมทั้ง 3 องค์กรด้านโลจิสติกส์เข้าด้วยกัน จะช่วยสร้างการเติบโตให้บริษัทได้ ส่วนแนวทางป้องกันปัญหาขนส่งล่าช้าในช่วง COVID-19 จะมีการแบ่งทีมงาน ตรวจสอบพื้นที่ที่เกิดการระบาดและแจ้งลูกค้าก่อน ประกอบกับ Flash Express ได้มีการเรียนรู้แนวทางการรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวมาก่อนแล้ว จึงคาดว่าจะมีความพร้อมและสามารถรับมือกับสถานการณ์นี้ได้ รวมถึง ทำให้ลูกค้าเดิมของแต่ละแบรนด์ได้มีทางเลือก ในการใช้บริการ Cold Chain Express เพิ่มขึ้น
