ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาโลกเราผ่านพ้นวิกฤตเศรษฐกิจมาแล้วหลายครั้ง โดยทุกครั้งที่ผ่านวิกฤตมาได้ ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นทั้งในด้านกฏเกณฑ์ และพฤติกรรมของผู้บริโภค การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ครั้งนี้ก็เช่นกัน
สำหรับการแพร่ระบาดของเจ้าไวรัสร้ายตัวนี้ ทำให้ทางธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศว่า GDP ในปี 2563 อาจติดลบถึง 5.3% เป็นเหมือนการยืนยันว่า เราคงหนี้ไม่พ้นเศรษฐกิจถดถอย (Recession) อย่างแน่นอน และสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากเหตุการณ์นี้มีอยู่ 3 เรื่องด้วยกัน
1.การใช้นโยบายช่วยเหลือที่มีประสิทธิภาพจะมีส่วนช่วยเสริมให้เศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วหรือช้า – ไวรัสโควิด-ต่างจากวิกฤติต้มยำกุ้ง หรือกระทั่ง Hamburger Crisis เพราะการหยุดชะงักกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และความกังวลของมนุษย์ ไม่ได้เกิดจากพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ หรือการเก็งกำไรจนเกิดฟองสบู่แตก แต่มาจากความกลัวทางด้านสุขภาพที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สถานประกอบการจำเป็นต้องปิดกิจการชั่วคราวและทำให้ผู้คนทั้งผู้ประกอบการ และลูกจ้าง ต้องมีรายได้ลดลง
แม้นโยบายการเงิน – การคลังจะไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องไวรัสนี้ได้โดยตรง แต่ก็มีความจำเป็นต้องใช้นโยบายการคลังจากภาครัฐอย่างเต็มที่ และต้องรวดเร็ว ควบคู่ไปด้วยเพื่อเป็นการลดภาระ เช่น การจ่ายเงินให้กับผู้ที่ตกงาน หรือกลุ่มอาชีพอิสระโดยตรง การช่วยเหลือ SMEs ในการจ่ายเงินเดือนพนักงานให้บางส่วน การยกเว้นภาษีหรือให้สิทธิการลดย่อนต่างๆ เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้มีความจำเป็นต้องทำโดยเร่งด่วน เพื่อช่วยกันตัดวงจรที่บริษัทต่างๆจะไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนได้ต่อไปในช่วงที่ต้องมีการหยุดกิจการเป็นการชั่วคราว รวมถึงการใช้นโยบายการเงิน เช่น การลดดอกเบี้ย พักชำระหนี้ ทั้งของภาคธุรกิจ และ ภาคประชาชน หรือการอัดฉีดสภาพคล่องโดยเข้าซื้อสินทรัพย์ทางการเงินของธนาคารกลางทั่วโลก เพื่อหยุดไม่ให้เกิดการตื่นตะหนก จนขาดความเชื่อมั่นและขายสินทรัพย์ทางการเงินทุกประเภท จนอาจทำให้ขาดทุนจำนวนมาก ซึ่งจะส่งผลกลับมากระทบในที่สุด ดังนั้นการตัดวงจรของการขาดสภาพคล่อง และการขาดความเชื่อมั่นจากมาตการของธนาคารกลางทั่วโลก จึงมีความจำเป็นเช่นกัน
ส่วนเศรษฐกิจของแต่ละประเทศจะฟื้นตัวได้รวดเร็วหรือช้าก็จะขึ้นกับ 2 มิติ คือ 1.ความสามารถในการควบคุมสถานการณ์ไวรัสให้จบเร็วหรือจบช้า หรือการควบคุมให้มีจำนวนคนติดเชื้อจำนวนมากหรือน้อยได้หรือไม่ 2.นโยบายการเงินการคลังที่ใส่เข้าไป เพียงพอ รวดเร็ว และ ตรงจุด ถึงมือคนที่ต้องการ หรือกิจการที่กำลังจะประสบปัญหาหรือไม่ หากทำได้ทั้ง 2 มิติ เราก็จะเห็นภาวะเศรษฐกิจที่ควรจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วแบบที่เรียกว่า V shape ก็เป็นไปได้
2.การปรับปรุงมาตรการการรับมือด้านสาธารณสุขกรณีฉุกเฉิน – เราเห็นถึงประสิทธิภาพของรัฐบาลด้านจัดการภาวะวิกฤต (Crisis management) และระบบสาธารณสุขในประเทศต่างๆ ตลอดจนความเชื่อ ความร่วมมือของประชาชนก็มีบทบาทสำคัญต่อการควบคุมโรค ยกตัวอย่างกรณีประเทศจีนและสิงค์โปร์ สามารถควบคุมไวรัสโควิด-19 ได้ดี และมีมาตรการช่วยจากภาครัฐเต็มที่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะสามารถกลับมาได้เร็ว หรือ เราคาดว่าจะเป็นลักษณะกราฟเป็นรูป V Shape ได้
กรณีประเทศสหรัฐฯ ที่สามารถควบคุมไวรัสโควิด-19 ได้ไม่ดีเท่า แต่มีมาตรการช่วยจากภาครัฐเต็มที่ อาจจะทำให้ปัญหาเศรษฐกิจถดถอยยาวนานกว่า แต่ก็จะค่อยๆฟื้นฟูเศรษฐกิจไปได้ เหมือนลักษณะกราฟ U Shape
กรณีประเทศอิตาลี ซึ่งไม่สามารถควบคุมไวรัสโควิด-19ได้ ทำให้เกิดการระบาดอย่างรุนแรง และมาตรการช่วยจากภาครัฐทางด้านการเงิน การคลังที่อาจจะไม่เต็มที่หรือช้าเกินไป เนื่องจากข้อจำกัดที่มีอยู่แล้วก่อนวิกฤตไวรัสโควิด-19 อาจจะทำให้เศรษฐกิจย่ำแย่ในระยะเวลานานกว่าทั้งสองกรณี และจำเป็นต้องใช้เวลาและงบประมาณเป็นจำนวนมากขึ้นในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ Phase ต่อไปหลังสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 คลี่คลายแล้ว
3.การเข้าใจความเสี่ยง และมีภูมิคุ้มกันต่อวิกฤตการลงทุนมากขึ้น – โดยทั่วไปแล้วเราควรมีเงินสำรองไว้ 3-6 เท่าของรายจ่าย หลังจากนั้นค่อยนำเงินส่วนที่เหลือไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น หรือขยายกิจการ แต่ช่วงที่ดอกเบี้ยโลกอยู่ในระดับต่ำมากก็ทำให้การถือเงินสดนั้นได้ผลตอบแทนที่ต่ำ ทุกคนต่างแสวงหาการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น ใช้ความเสี่ยงมากขึ้นด้วยเช่นกัน ส่งผลให้เกิดภาวะ Search for yield ในการแสวงหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น
เมื่อมี ไวรัสโควิด-19 ครั้งนี้ นอกจากจะทำให้ตลาดหุ้น ตลาดเครดิต ร่วงลงมาอย่างรวดเร็วแล้ว ยังทำให้ผู้ที่เคยมีรายได้ แต่ทำงานในธุรกิจ หรืออุตสาหกรรมที่ถูกผลกระทบโดยตรงจำนวนมาก เช่น อุตสาหกรรมท่องเที่ยว โรงแรม การบิน เป็นต้น ประสบกับปัญหาการขาดรายได้อย่างทันที หรืออยู่ในภาวะที่เราเรียกว่า “ขาดสภาพคล่อง” แต่สำหรับผู้ที่ยังมีเงินเย็นเก็บไว้ นอกจากจะยังสามารถรอดจากวิกฤติช่วงนี้ได้ ก็ยังเป็นโอกาสในการลงทุนเมื่อสถานการณ์กลับมาเป็นปกติแล้วได้อีกด้วย
ในด้านการลงทุนจากเดิมที่นักลงทุนกล้าที่จะซื้อหุ้นที่มี P/E สูงในระดับ 40-50 เท่า เนื่องจากมองว่าบริษัทจะสามารถสร้างผลงานเช่นนั้นได้ต่อไปอีกหลายปี แต่เมื่อผลประกอบการของบริษัทเหล่านั้นได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 และเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลง ก็ส่งผลให้หุ้นที่เคยมองว่าสมบูรณ์แบบมีอนาคตไกลเติบโตได้สูง กลายเป็นหุ้นยอดแย่ที่ทำให้ขาดทุนอย่างหนักซึ่งจะส่งผลให้มุมมองความเสี่ยงเปลี่ยนไป ทำให้หุ้นบางตัวอาจไม่ได้กลับซื้อขายที่ P/E สูงเท่าเดิม แม้ตลาดจะฟื้นตัวกลับมาเมื่อสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ
แม้การระบาดของโควิด-19 จะสร้างวิกฤตในหลายด้าน แต่ก็ทำให้เราเรียนรู้อะไรมากมาย นอกจากนี้โลกหลังไวรัสร้ายตัวนี้จบลง ย่อมก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในหลายมิติ เช่น วิถีการทำงาน, life style, business model, การลงทุน ทั้งช่วยให้เกิดโอกาสใหม่ๆ และที่จะล้มหายตายจากไป ธุรกิจในหลายรูปแบบก็ต้องปรับตัวให้ทันสิ่งที่เปลี่ยนไปแล้วด้วยเช่นกัน
ที่มา : SCB Chief Investment Office (SCB CIO)