เป็นที่คาดการณ์ว่าระหว่างปี 1980 – 2050 (พ.ศ. 2523 – 2593) จำนวนผู้สูงวัยจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างน้อยหนึ่งเท่าตัว โดยในปี 2050 (พ.ศ. 2593) โลกจะมีจำนวนผู้สูงวัยที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป กว่า 2.1 พันล้านคน
ส่งผลให้ในอีกราว 30 ปีต่อจากนี้จะเป็นครั้งแรกที่โลกมีจำนวนคนแก่มากกว่าคนหนุ่มสาว โดย 1 ใน 5 ของประชากรโลกในปี 2050 (พ.ศ. 2593) จะเป็นผู้สูงวัย ซึ่งสถิติดังกล่าวได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ นับได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ผู้สูงอายุจะครองเมืองในทุกพื้นที่ของโลก
จากการขยายตัวของกลุ่มคนสูงอายุอย่างกว้างขวางทั่วโลก เป็นที่แน่ชัดว่า Generation ที่ทรงอิทธิพลจะมีการเปลี่ยนขั้ว จาก “กลุ่ม Millennials” ที่เป็นความเชื่อเดิมๆ มาเป็น “กลุ่มผู้สูงอายุ”
กลุ่มผู้สูงอายุเป็นกลุ่มที่คุมอำนาจทางการเงินและการเมือง เป็นกลุ่มที่มีเงินเหลือเพื่อการใช้จ่าย (Disposable Incomes) มากกว่าคนทุกกลุ่ม กลายเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก สู่ “เศรษฐกิจสูงวัย” (Silver Economy) และ “เศรษฐกิจอายุวัฒน์” (Longevity Economy) ผลักดันให้กลายเป็นภาคเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก ซึ่งทั่วโลกกำลังจับตาและศึกษาแนวโน้มกันอย่างกว้างขวาง
ถึงแม้คนสูงวัยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่คนทั่วไป – ภาครัฐ – ภาคเอกชน ยังคงมีมุมมองต่อผู้สูงวัยแบบเดิม เช่น ไม่สนใจเทคโนโลยี ไม่ชอบเรียนรู้ ไม่ชอบสิ่งใหม่ๆ รวมถึงมองผู้สูงวัย และกำหนดตัวตนจาก “เลขอายุ” ไม่ใช่จากความชอบ ไลฟ์สไตล์ และความต้องการที่แท้จริง
“อิปซอสส์” (Ipsos) บริษัทสำรวจและวิจัยการตลาดจากฝรั่งเศส ได้เผยผลวิจัย “Getting Older – Our Aging World” ที่เผย Insights ไลฟ์สไตล์ – ความต้องการที่แท้จริงของผู้สูงวัย เพื่อสร้างความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับผู้บริโภคกลุ่มนี้
ปี 2030 ทั่วโลกจะเข้าสู่ยุค “Super Aged Society” – ประชากรสูงวัย มากกว่าเด็กเกิดใหม่
-
ปี 2030 จำนวนประชากรผู้สูงวัยอายุ 60 ปีขึ้นไป จะมี 1,400 ล้านคนทั่วโลก เป็นปีแรกของประวัติศาสตร์โลกที่จำนวนผู้สูงอายุ มากกว่าจำนวนเด็กเกิดใหม่ (0 – 9 ปี) มี 1,300 ล้านคน นั่นหมายความว่าโลกเข้าสู่ยุคสังคมสูงอายุระดับสูงสุด (Super Aged Society)
-
ปี 2050 จำนวนประชากรผู้สูงวัยอายุ 60 ปีขึ้นไป จะมี 2,100 ล้านคนทั่วโลก ในขณะที่จำนวนประชากรเด็กเกิดใหม่ (0 – 9 ปี) มี 1,400 ล้านคน
-
ประเทศไทย เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) ตั้งแต่ปี 2000 ที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป ในอัตรา 10%
-
ปัจจุบันประเทศไทย มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป ประมาณ 17 – 18% ของประชากรไทยทั้งประเทศ หรือประมาณ 11 ล้านคน
-
ปี 2020 ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) ที่จำนวนประชากรผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นเป็น 20%
-
ปี 2035 ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสูงสุด (Super Aged Society) โดยมีประชากรสูงอายุถึง 30%
ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงโดยรวมของประเทศในหลายด้าน ทำให้หลายฝ่ายต้องเริ่มตระหนัก และหันมาให้ความสำคัญกับการเตรียมการรองรับไว้ล่วง หน้าเช่นเดียวกับความกังวลของนานาประเทศในขณะนี้
ผู้สูงอายุในเอเชีย เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว – แอฟริกา ผู้สูงอายุน้อยที่สุดในโลก
เมื่อแบ่งเป็นภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก พบว่า
-
การเพิ่มขึ้นของประชากรผู้สูงวัย เกิดขึ้นในทุกภูมิภาคทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศเจริญแล้ว เช่น ประเทศในยุโรป, อเมริกา
-
ในภูมิภาคเอเชีย ประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
-
การเพิ่มขึ้นของประชากรสูงวัย ส่งผลให้คนำทงานลดลงเรื่อยๆ เช่น ญี่ปุ่น, ยุโรป
-
แต่ภูมิภาคที่มีจำนวนผู้สูงอายุน้อยที่สุดในโลก คือ “แอฟริกา” ทำให้เวลานี้กลุ่มทุนในประเทศจีน, ยุโรป เข้าไปลงทุนในแอฟริกามากขึ้น เพราะเป็นภูมิภาคที่มีคนหนุ่มสาววัยทำงานจำนวนมาก จึงมีการคาดการณ์ว่าต่อไป “แอฟริกา” จะเป็นภูมิภาคที่ GDP เติบโตมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
-
ในประเทศไทยอัตราการมีบุตรของผู้หญิงไทย 1 คน โดยเฉลี่ยอยู่ที่กว่า 1% เท่านั้น เทียบเท่ากับประเทศที่เจริญแล้ว เช่น นอร์เวย์, สวีเดน
-
ค่าเฉลี่ยการมีบุตรที่จะทำให้จำนวนเด็กเกิดใหม่เพิ่มขึ้น ให้อยู่ในจุดสมดุลระหว่างการเพิ่มขึ้นของประชากรผู้สูงวัย ผู้หญิง 1 คน ต่อการมีบุตร 2 คน
-
เมื่อประชากรวัยทำงานไม่เพียงพอ ส่งผลให้ในระยะหลังมานี้ ประเทศไทยมีชาวต่างชาติเข้ามาทำงานในไทยมากขึ้น โดยส่วนใหญ่ยังอยู่ในตลาดที่ใช้แรงงาน (Blue Collar)
-
ถ้าอัตราการเกิดของเด็กใหม่ยังคงลดลง คาดกาณณ์ว่าปี 2030 จำนวนประชากรไทยอาจหายไป 30% และในตลาดงานของไทยจะมีคนต่างชาติเข้ามาทำงานในส่วนงานอื่นๆ มากึ้น เช่น งานออฟฟิศ
สำรวจประชากรผู้สูงอายุ 60+ ทั่วโลกในปัจจุบัน และปี 2050
-
4 ประเทศที่มีประชากรเพิ่มขึ้นมากที่สุด คือ ญี่ปุ่น, สเปน, เกาหลีใต้, โปแลนด์
-
ประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันเป็นประเทศที่มีผู้สูงอายุมากที่สุดในโลก คิดเป็นสัดส่วน 33% ของประชากรทั้งประเทศ ขณะที่ในปี 2050 คนสูงอายุในญี่ปุ่น จะเพิ่มขึ้นเป็น 42%
-
เกาหลีใต้ สัดส่วนผู้สูงอายุ เพิ่มขึ้นมาเป็น 42%
สิ่งที่น่ากลัวของสังคมผู้สูงอายุในเกาหลีใต้ คือ เป็นประเทศที่ผู้สูงอายุไม่มีเงิน เพราะพบว่าผู้สูงอายุของเกาหลีไม่มีรายได้ค่อนข้างเยอะ ต้องอาศัยในชุมชนแออัด ขณะเดียวกันมีผู้สูงอายุที่เป็นผู้หญิงบางคน ต้องตัดสินใจขายบริการทางเพศ เพื่อความอยู่รอด
และเมื่อเกาหลีใต้มีผู้สูงวัยเพิ่มขึ้น ส่งผลให้กลายเป็นสังคมมีความเหลือมล้ำทางรายได้จะเพิ่มสูงขึ้น
ประเทศเหล่านี้ เป็นเหมือนกระจกสะท้อนสังคมไทยว่าในอีก 20 – 30 ปีจากนี้ ประเทศไทยจะเป็นแบบไหน ?!?
ลบภาพจำเกี่ยวกับ “ผู้สูงวัย” เดิมๆ เมื่ออายุไม่ได้ชี้วัดตัวตนที่แท้จริง
ถึงแม้จำนวนคนสูงวัยมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว คนทั่วไปรวมถึงภาครัฐและเอกชนยังคงมีมุมมองต่อผู้สูงวัยแบบเดิม ไม่ว่าจะเป็นการที่คิดว่าผู้สูงวัยไม่สนใจเทคโนโลยี ไม่ชอบเรียนรู้ ไม่ชอบสิ่งใหม่ๆ รวมถึงมองผู้สูงวัย และกำหนดตัวตนของผู้สูงวัยจาก “เลขอายุ” ไม่ใช่จากความชอบ ไลฟ์สไตล์ หรือความต้องการที่แท้จริง ทำให้ยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับผู้สูงวัย
ภาพจำ หรือมุมมองที่คนส่วนใหญ่ทั่วโลกยังมอง “ผู้สูงวัย” ในปัจจุบัน คือ
-
ผู้สูงอายุไม่ค่อยชอบปรับตัว ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง
-
ไม่ชอบใช้เทคโนโลยี
-
ทำความผิดพลาดบ่อย
-
ชอบอยู่บ้าน ไม่ชอบลองอะไรใหม่ๆ
แต่ในความเป็นจริงแล้ว “ผู้สูงวัย” เป็นเช่นนั้นจริงหรือ ?!? มาเปิด 12 มุมมองใหม่เกี่ยวกับ “ผู้สูงวัย” ในปัจจุบัน
1. นิยาม “ความแก่” ไม่เท่ากันในแต่ละประเทศ – อายุ 60 ไม่ได้แปลว่าแก่
การใช้อายุเป็นเกณฑ์ อาจจะทำให้ความเข้าใจต่อผู้สูงวัยคลาดเคลื่อน ซึ่งผลพวงจากยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ทำให้คนมีความเชื่อว่า 60 คืออายุที่แปลว่า “แก่”
อย่างไรก็ตาม “อายุเป็นเพียงตัวเลข” เพราะในความเป็นจริงแล้วคนบนโลกยุคปัจจุบันมองว่า ผู้สูงวัยจะเริ่มต้นที่อายุ 66 ปีโดยเฉลี่ย ไม่ใช่ 60 อย่างที่เข้าใจกัน
-
ประเทศสเปนมองว่าผู้สูงวัยเริ่มต้นที่อายุ 70
-
ในขณะที่คนซาอุดิอาระเบียชี้ 49 ปีก็แก่แล้ว
-
ประเทศไทย คนไทยเรายังมองว่า 60 เป็นอายุเริ่มต้นของผู้สูงวัย ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลกอย่างมีนัยยะสำคัญ
ถึงแม้คนบนโลกจะมองอายุกับคำว่าสูงวัยต่างกัน ผู้สูงอายุบนโลกกลับเห็นด้วยว่าโดยเฉลี่ยแล้วพวกเขาจะรู้สึกเด็กกว่าอายุจริงถึง 9 ปี ทำให้ ‘ตัวเลข’ ไม่ใช่มาตรวัดที่แม่นยำอีกต่อไป
2. อย่าเอา “อายุ” ชี้วัดตัวตน แต่ให้ใช้ “ไลฟ์สไตล์” และ “ความต้องการที่แท้จริง” ทำความเข้าใจผู้สูงวัย
การกำหนดผู้สูงวัยจาก “ตัวเลขอายุ” และภาพจำเดิมๆ ที่ว่าผู้สูงวัยไม่สนใจเทคโนโลยี ไม่ชอบเรียนรู้ และไม่ชอบสิ่งใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่นักการตลาด กว่า 79% ยังใช้ “อายุ” เป็นตัวชี้วัดในการกำหนดตัวตนของผู้สูงวัย แทนที่จะศึกษาจากความชอบ ไลฟ์สไตล์ หรือความต้องการที่แท้จริง
ความเข้าใจผิดเหล่านี้ ทำให้เราไม่รู้จักผู้สูงอายุได้อย่างแท้จริง ไม่เข้าใจและเข้าไม่ถึงความรู้สึกนึกคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความต้องการของกลุ่มผู้สูงอายุ ทำให้เราประเมินสถานการณ์ผิดพลาดและวางแผนต่างๆ ไม่ถูกทิศทาง
-
82% ของคนฝรั่งเศสอายุ 55+ มองว่ารีเทล หรือห้างร้านฯ ไม่ได้เข้าใจความต้องการที่แท้จริงของเขา
-
88% เห็นด้วย แบรนด์ควรโฟกัสความต้องการ – ความสนใจของผู้บริโภค ไม่ใช่ดูกันที่อายุอย่างเดียว
-
4 ใน 5 ของคนฝรั่งเศส บอกว่าแบรนด์ควรพัฒนาสินค้า-บริการ ที่ไม่จำเป็นต้องมาบอกว่าสินค้า-บริการนั้นๆ สำหรับผู้สูงอายุโดยเฉพาะ แต่ควรเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการ เช่น ตอบความต้องการด้านการท่องเที่ยว ตอบโจทย์ด้านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ตอบสนองความสะดวกสบาย เป็นต้น
3. ผู้สูงอายุใช้อินเทอร์เน็ต – เป็นนักช้อปออนไลน์ตัวยง – “ใช้เทคโนโลยี” ไม่น้อยไปกว่าคน Millennials
-
กราฟข้างต้นชี้ให้เห็นว่าในปี 2002 ผู้บริโภคทุกช่วงวัย ตั้งแต่อายุ 30 – 75 ปี ยังไม่ใช้อินเทอร์เน็ตอย่างแพร่หลาย
จากนั้นในแต่ละปี การใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในปี 2017 พบว่า “ผู้สูงอายุ” เป็นหนึ่งในคนที่ใช้อินเทอร์เน็ตมากสุด
-
ปี 2018 พบว่าผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปในประเทศไทยกว่า 1.2 ล้านคนเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ใช้ออนไลน์ เติบโตจากปี 2008 ถึง 100% ที่ในเวลานั้นอัตราการใช้อินเทอร์เน็ตในกลุ่มผู้สูงวัยมีแค่เพียง 1% เท่านั้น
-
ตัวอย่างชัดเจน และใกล้ตัวทุกคน คือ ผู้สูงอายุพูดคุยกับครอบครัว – เพื่อนผ่าน Messenger Application
-
มากกว่า 88% ของผู้สูงอายุในฝรั่งเศสใช้อินเทอร์เน็ต ตรงกันข้ามกับปี 1995 ที่มีเพียง 2% เท่านั้น
-
31% ของผู้สูงอายุ (อายุ 70 ปีขึ้นไป) ในอังกฤษ ใช้สมาร์ทโฟน
-
87% ของผู้สูงอายุในชิลี (อายุ 60 ปีขึ้นไป) ใช้โทรศัพท์มือถือ และ 42% ใช้ WhatsApp – 30% ใช้ Facebook
-
ในประเทศฝรั่งเศส และแคนาดา ผู้สูงอายุใช้เทคโนโลยี “Telemedical” เพื่อเข้าถึงสุขภาพ และบริการทางการแพทย์ โดยเทคโนโลยีนี้จะส่งสัญญาณโดยตรงไปที่โรงพยาบาล และแพทย์
ปัจจุบัน และอนาคตเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับ “Connected Healthcare” จะกลายเป็นเทคโนโลยีช่วยผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย จะเดินไปในทิศทางนี้เช่นกัน
มูลค่าการใช้จ่ายที่เกิดขึ้นบนออนไลน์ เดิมทีถูกมองว่ามาจาก “คนรุ่นใหม่” แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่แค่มาจากคนรุ่นใหม่อย่างเดียว ยังมาจาก “กลุ่มผู้สูงวัย” ซึ่งเป็นนักช้อปออนไลน์กลุ่มใหญ่อีกด้วย เนื่องจากมีเวลาว่าง และมีเงิน
-
43% ของผู้สูงวัยในอังกฤษ สั่งซื้อสินค้าออนไลน์ ทำให้การซื้อสินค้าออนไลน์ เป็นกิจกรรมหลักของผู้สูงวัย
-
ในอนาคตอันใกล้นี้ เม็ดเงินการใช้จ่ายบนออนไลน์ของประเทศไทย โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค จะมาจากผู้สูงวัยเป็นหลักเช่นเดียวกัน
เพราะฉะนั้นความเข้าใจ หรือความเชื่อที่ว่าผู้สูงอายุไม่ยอมปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ไม่ใช่เทคโนโลยี – ไม่ใช้อินเทอร์เน็ต จึงเป็นความเข้าเชื่อที่ไม่ถูกต้องอีกต่อไป
4. อายุไม่ใช่อุปสรรคการเริ่มต้นชีวิตใหม่ – เรียนรู้สิ่งใหม่
จากมุมมองเดิมที่คนส่วนใหญ่มีต่อผู้สูงอายุ มาดูตัวอย่าง Insights จริงของผู้สูงอายุในปัจจุบัน
Insights ของผู้สูงอายุ 65 ปีในประเทศฝรั่งเศส
-
70% ชอบลองอะไรใหม่ๆ
-
60% รู้สึกว่าตัวเองเด็กกว่าอายุ
การรู้สึกว่าตัวเองเด็กกว่าอายุจริง เกิดขึ้นกับผู้สูงอายุทั่วโลก รวมทั้งไทย
-
35% ของผู้สูงวัยในฝรั่งเศสมองว่าช่วงสูงวัย เป็นช่วงเวลาที่ดี
-
1 ใน 3 ของผู้สูงอายุต้องการเริ่มต้นชีวิตใหม่ เพราะเขามองว่าที่ผ่านมาชีวิตของเขาถูกล็อคด้วยการทำงาน การเลี้ยงลูก ไม่สามารถทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการได้
Insights ผู้สูงอายุในประเทศไทย
-
64% ของผู้สูงอายุ บอกว่ารู้สึกว่าตัวเขาเองเด็กกว่าอายุจริง
-
75% ต้องการเรียนรู้อะไรใหม่ๆ
-
46% มองว่าช่วงสูงวัย เป็นช่วงที่ดี เป็นช่วงที่ดี
-
47% ของผู้สูงวัยไทย ต้องการเริ่มต้นชีวิตใหม่
เพราะฉะนั้นภาพที่สังคมมองว่าผู้สูงอายุไม่ต้องการเรียนรู้ – ต้องการอยู่บ้าน – ชอบอยู่บ้านเลี้ยงหลาน – ไม่ต้องการออกไปค้นพบสิ่งใหม่บนโลกใบนี้อีกแล้ว เป็นความเชื่อที่ไม่สะท้อนความเป็นจริงของผู้สูงวัยในปัจจุบัน
ความเป็นจริงของผู้สูงอายุในปัจจุบัน คือ
-
ต้องการเริ่มต้นชีวิตใหม่หลังเกษียณ
-
ไม่ต้องการอยู่กับบ้าน
-
ต้องการเรียนรู้สิ่งใหม่
-
ต้องการท่องเที่ยว
-
ต้องการมีความรักอีกครั้ง กลับไปโรแมนติกอีกครั้ง
5. ผู้สูงวัย มีอำนาจทางการเงิน และโอกาสแห่งอนาคต
จากความต้องการของผู้สูงวัยที่เพิ่มขึ้นและเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน ตลาดผู้สูงวัยได้เพิ่มความซับซ้อนละมีมูลค่าสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
-
ในประเทศอังกฤษเม็ดเงิน 320,000 ล้านปอนด์ ซึ่งนับเป็น 47% ของมูลค่าตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งหมดมาจากกลุ่มผู้สูงอายุ
-
ในฝรั่งเศสผู้สูงวัยมีเงินที่เตรียมไว้ใช้ท่องเที่ยวถึง 22,000 ล้านยูโร
-
ในญี่ปุ่นเองผู้สูงอายุยังเป็นเจ้าของทรัพย์สินถึง 1.439 พันล้านล้านเยน ซึ่งนับเป็น 80% ของตลาดการเงินทั้งหมด
-
ในปี 2032 ที่อเมริกา “เศรษฐกิจอายุวัฒน์” (Longevity Economy) คือ มูลค่าตลาดที่รวมทั้งสินค้าและบริการสำหรับผู้สูงวัยนั้นจะมีสัดส่วนที่ใหญ่กว่าทุกภาคส่วนของตลาดอื่นรวมกัน
6. คนสูงอายุ เป็นผู้ประกอบการธุรกิจมากขึ้น (Entrepreneurial Longevity)
– ในอเมริกา ผู้สูงวัยเริ่มต้นเป็นเจ้าของกิจการมากขึ้น โดยในปี 1996 พบว่า 14% ของคนอายุ 55 – 64 ปี เริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง ขณะที่ปี 2012 ขยับขึ้นมาเป็น 23%
– การใช้จ่ายของผู้สูงอายุ 50 ปีขึ้นไปในอเมริกา พบว่าใช้จ่ายไปกับ “การศึกษา” มากสุด สะท้อนให้เห็นว่าคนสูงวัย ยังคงต้องการเรียนรู้เสมอ
7. ไลฟ์สไตล์ – กิจกรรม – พฤติกรรมการใช้จ่ายเงินของผู้สูงวัยคนไทย
กิจกรรมยอดฮิตติดอันดับที่ผู้สูงอายุชาวไทยชื่นชอบตามลำดับ คือ
-
การออกกำลังกาย (56%) ไม่เพียงออกกำลังกายในสวนสาธารณะ แต่ยังรวมถึงออกกำลังกายในฟิตเนสเซ็นเตอร์
-
เดินทางท่องเที่ยว (49%)
-
การเพาะปลูก (34%)
-
ชอบสังคมเยี่ยมญาติ / เพื่อนสนิทมิตรสหาย (27%)
-
การเดินออกกำลังกาย (27%)
-
ร่วมกิจกรรมชุมชน (22%)
-
ช้อปปิ้ง (20%)
-
เรียนรู้สิ่งใหม่ (12%)
-
อาสาสมัคร (10%)
-
ใช้ Social Media (7%)
-
เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ (7%)
-
โยคะ (7%)
-
เลี้ยงสัตว์ (5%)
-
ลงเรียนคอร์สออนไลน์ (5%)
-
เล่นบอร์ดเกม (5%)
-
เรียนรู้เครื่องดนตรีใหม่ๆ (2%)
-
ไปดูภาพยนตร์ (2%)
ภาพรวมไลฟ์สไตล์ – กิจกรรม และการใช้จ่ายของผู้สูงอายุในไทยปัจจุบันเปลี่ยนไป จากเดิมที่เน้นเก็บเงิน แต่ทุกวันนี้ ผู้สูงอายุใช้เงิน เพื่อ enjoy ชีวิตเพิ่มขึ้น ดังนั้นเมื่อมี Demand ดังกล่าวเกิดขึ้น ทำให้เม็ดเงินในตลาดนั้นๆ เติบโต
8. อิทธิพลของผู้สูงวัยในโลกการเมือง
ไม่เพียงสัดส่วนของผู้สูงวัยจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ผู้สูงวัยมักจะเป็นกลุ่มคนที่ออกไปใช้สิทธิ์เลือก ตั้งมากกว่ากลุ่มเด็กหรือกลุ่มวัยรุ่น ทำให้อิทธิพลของผู้สูงวัยในเวทีการเมืองเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยสิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือความต้องการที่แตกต่างกันของกลุ่มคนแต่ละช่วงอายุ กลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มผู้เยาว์อาจจะไม่ได้มีความปรารถนาในทิศทางเดียวกัน
รัฐบาลควรจะใช้จ่ายเพื่อดูแลผู้สูงวัยมากกว่าการลงทุนกับอนาคตของเด็กในชาติหรือไม่?
โดยในปัจจุบัน 3 ใน 10 ของประชากรโลกมองว่าผู้สูงวัยมีอิทธิพลต่อการเมืองมากเกินควร ในขณะที่ 1 ใน 3 ของคนไทยซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยโลกอย่างชัดเจนเห็นด้วยว่าผู้สูงวัยมีอิทธิพลต่อการเมืองมากไปแล้ว
9. มุมมองคนไทย vs. คนทั่วโลก ที่มีต่อ “ผู้สูงอายุ”
มุมมองของคนไทย ที่มีต่อผู้สูงอายุ
-
น่านับถือ (72%)
-
ใจดี (55%)
-
มีศีลธรรม – จริยธรม (48%)
-
มีการศึกษา (47%)
-
มีความสุข (41%)
-
มีความรู้เกี่ยวกับชุมชน (35%)
-
ฉลาด (17%)
-
เป็นศูนย์กลางในการทำงาน (11%)
-
มีฐานะ / รวย (10%)
-
มีความน่าเคารพนับถือ (7%)
-
เศร้าหมอง (6%)
-
ทำงานหนัก (5%)
มุมมองคนทั่วโลก ที่มีต่อผู้สูงอายุ
-
ฉลาด (35%)
-
เจ็บป่วยง่าย – อ่อนแอ (32%)
-
โดดเดี่ยว (30%)
-
มีความน่าเคารพ (25%)
-
ไม่เป็นธรรม (23%)
-
น่านับถือ (23%)
-
ใจดี (21%)
-
เศร้าหมอง (15%)
-
ยากจน (13%)
-
มีความสุข (12%)
-
มีการศึกษา (12%)
-
ทำงานหนัก (11%)
จากมุมมองดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าในประเทศไทย ภาพลักษณ์ของผู้สูงอายุ ดีกว่ามุมมองโลก
10. ล้วงลึกความต้องการผู้สูงวัยไทย – ทั่วโลก
ความต้องการของผู้สูงอายุไทย
-
ต้องการความสงบ (41%) ส่งผลให้ธุรกิจสปา, Wellness, กิจกรรมนั่งสมาธิเติบโตขึ้น
-
ต้องการใช้เวลาไปกับงานอดิเรก / พักผ่อน (37%) พบว่าผู้สูงอายุไทยชอบถ่ายรูป ไม่ต่างจากคนรุ่นใหม่ โดยคนสูงวัยจะไปร้านสวยๆ แล้วถ่ายรูป ทำให้กิจกรรมถ่ายรูปเติบโตเร็ว
-
ใช้เวลากับเพื่อน / ครอบครัว (30%)
-
หาประสบการณ์ใหม่ๆ (24%)
-
ใช้เวลาท่องเที่ยว (24%)
-
มีเวลาดูแลบ้าน และทำสวน (22%)
-
ใช้ชีวิตแบบเนิบช้า (20%)
-
มีความมั่นคงทางการเงิน (16%)
-
ลดความกดดันชีวิต (15%)
-
มีความจำดี (15%)
-
ต้องการช่วยเหลือผู้อื่น (14%)
-
มีเวลามากขึ้นที่จะรู้จักชุมชนท้องถิ่น (11%)
ความต้องการของผู้สูงอายุทั่วโลก
-
ใช้เวลากับเพื่อน / ครอบครัว (36%)
-
มีเวลาทำงานอดิเรก (32%)
-
มีเวลาท่องเที่ยว หรือพักผ่อน (26%)
-
เลิกทำงาน (26%)
-
มีความมั่นคงทางการเงิน (20%)
-
ใช้ชีวิตแบบเนิบช้า (20%)
-
ลดความกดดันในชีวิต (17%)
-
ฉลาดขึ้น (14%)
-
ต้องการความสงบในชีวิต (13%)
-
มีเวลาดูแลบ้าน และทำสวน (11%)
11. “การเงิน – สุขภาพ” คือสองสิ่งที่ผู้สูงอายุทั่วโลกวิตกกังวลมากสุด
สิ่งที่ผู้สูงอายุทั่วโลกวิตกกังวลมากที่สุด คือ เรื่องเงิน และ สุขภาพ (Top Worries – Money & Health) และสิ่งที่ผู้สูงอายุชาวไทยมีความกังวลใจซึ่งก็มีความใกล้เคียงกัน
โดยสามารถเรียงลำดับตามความวิตกกังวลของกลุ่มผู้สูงวัยของโลก คือ
-
กลัวมีเงินไม่พอต่อการดำรงชีวิต (30%)
-
กลัวมีปัญหาการเคลื่อนไหวทางร่างกาย (25%)
-
เสียความทรงจำ (24%)
-
ไม่สามารถทำสิ่งต่างๆ ที่เคยทำได้ (22%)
-
การจากไปของคนในครอบครัว ญาติ และเพื่อนฝูง (20%)
-
ความเจ็บป่วย (20%)
-
ถูกทิ้งให้เปล่าเปลี่ยว-เหงา-เศร้า (19%)
-
ไม่มีอิสระ (18%)
-
ตาย (16%)
-
หูตึง / ตามองไม่เห็น (13%)
ส่วนความกังวลใจของผู้สูงอายุคนไทยเมื่อถึงวัยชรา เรียงตามลำดับได้ดังนี้
-
ไม่สามารถทำสิ่งต่างๆ ที่เคยทำได้ (51%)
-
เจ็บป่วย (41%)
-
ความเคลื่อนไหวทางร่างกาย (34%)
-
มีเงินไม่พอต่อการดำรงชีวิต (32%)
-
เสียความทรงจำ (27%)
-
ญาติและเพื่อนฝูงค่อยๆ จากไป (20%)
-
สูญเสียสายตาและ การได้ยิน (15%)
-
ถูกทิ้งให้ล้าหลังทางเทคโนโลยี (10%)
-
ผมหงอกและศีรษะล้าน (10%)
-
เบื่อหน่าย (10%)
-
ถูกทิ้งให้โดดเดี่ยว (10%)
-
ไม่ได้รับการดูแลเอาใจ (7%)
เป็นที่น่าสังเกตว่า ปัจจุบันผู้สูงอายุคนไทยมี 50% เท่านั้นที่มีประกันภัยด้านสุขภาพ และอีก 18% เป็นการทำประกันบำนาญ
ด้วยเหตุนี้เอง มนุษย์ทุกคน ทุกเจน ไม่แบ่งแยกเฉพาะผู้สูงวัย ย่อมอยากให้ตนเองมีสุขภาพดีไปนานๆ โดยสถิติผู้สูงวัย 6 ใน 10 คนทั่วโลก คาดหวังให้ตัวเองมีสุขภาพดี และ มีร่างกายแข็งแรงยามแก่
ส่วนคนสูงอายุชาวไทยมีการเตรียมตัวเพื่อการเป็นคนสูงวัยที่มีคุณภาพ เรียงตามลำดับ ดังนี้
-
ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ (79%)
-
ทานอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ (72%)
-
เก็บออมเพื่อให้มีเงินพอใช้หลังเกษียณ (59%)
-
หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอร์ (37%)
-
หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ (33%)
-
สร้างทักษะกับงานอดิเรกที่สนใจ (30%)
-
มีบทบาทในชุมชน (29%)
-
พบปะเพื่อนฝูงและอยู่ในแวดวงเพื่อนที่ดี (28%)
-
รักษาความสัมพันธ์อันดีกับหุ้นส่วน (22%)
-
ทำกิจกรรมด้านกีฬาเป็นประจำ (22%)
-
ดูแลปรับปรุงที่อยู่อาศัย (22%)
-
ใช้วีลแชร์ด้วยความชำนาญ (22%)
-
หาที่อยู่อาศัยที่เหมาะกับคนสูงอายุ (8%)
-
อื่นๆ (3%)
12. ภัยมืดที่แฝงตัวมากับสังคมผู้สูงวัย “ยิ่งแก่ ยิ่งจน” – คนมิลเลนเนียล มองผู้สูงวัยเป็นภาระลูกหลาน
ถึงแม้ตลาดผู้สูงอายุจะสร้างโอกาสใหม่ๆขึ้น ในขณะเดียวกันจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นก็ก่อให้เกิดปัญหาและความเสี่ยงในหลายๆ ด้าน ทั้งจากมุมมองของปัจเจกบุคคล และมุมมองทางด้านเศรษฐกิจและสังคม
ในส่วนบุคคล “ผู้สูงวัย” มีความกังวลเป็นพิเศษใน 2 เรื่องหลัก คือเรื่องการเงิน และ สุขภาพ (รายละเอียดในข้อ 11)
ทำให้ในประเทศไทย เรา 79% ของคนไทยวางแผนที่จะทำงานต่อหลังอายุเกษียณ เพราะกลัวว่าจะมีเงินไม่พอในช่วงวัยชรา ซึ่งสูงกว่า 41% ในประเทศแคนนาดาที่มีสวัสดิการจากรัฐที่ดีกว่าอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตามตัวเลขตรงนี้เพิ่มสูงกว่า แต่ก่อนที่ผู้สูงวัยมักจะตัดสินใจพักผ่อนหลังอายุเกษียณที่ 60 ปี
ขณะที่ด้านหนึ่ง “กลุ่มผู้สูงวัย” เป็นกลุ่มที่มีเงิน และกำลังซื้อสูงกว่าในหลายกลุ่มอายุ แต่ในอีกด้านหนึ่ง มีจำนวนผู้สูงวัยจำนวนมากที่เข้าข่าย “ยิ่งแก่ ยิ่งจน” ซึ่งสังคมผู้สูงวัยจะทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางรายได้ทวีคูณขึ้นในอนาคตอันใกล้
อิปซอสส์ ชี้ว่าภาคสังคม ภาคธุรกิจ และรัฐบาลต้องปรับตัว เพราะปัจจุบันประเทศไทยมีจำนวนผู้สูงอายุมากกว่า 11 ล้านคน ไม่เพียงที่คนชราจะมีจำนวนเพิ่มขึ้น แต่จากการเปลี่ยนแปลงทางลักษณะสังคมและครอบครัว ทำให้มีคนแก่จำนวนมากที่อาศัยอยู่เพียงลำพัง
-
ในประเทศจีนและอังกฤษ 1 ใน 3 ของครัวเรือนทั้งหมดคือ คนสูงวัยที่อาศัยอยู่ด้วยตัวคนเดียว
-
นอกจากนั้นเกิดความเปลี่ยนแปลงของลักษณะประชากรที่เด็ก และคนวัยทำงานมีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ
-
ความเชื่อและค่านิยมที่เปลี่ยนไป ทำให้มีเพียง 57% ของประชากรโลกที่เห็นด้วยว่าการดูแลผู้สูงวัยเป็นหน้าที่ของลูกหลาน
-
สำหรับประเทศไทย พบว่า 54% ของคนไทยเห็นด้วยว่าการดูแลผู้สูงวัยเป็นหน้าที่ของลูกหลาน และมี 18% ที่มองว่าการดูแลผู้สูงวัยเป็นภาระของลูกหลาน ซึ่งปัจจุบันมีแนวโน้มว่าคน Millennials จะมีมุมมองเรื่องการเลี้ยงดูผู้สูงอายุ เป็นภาระของลูกหลานมากขึ้น
-
ประเทศญี่ปุ่น 23% ของคนญี่ปุ่นมองว่าการดูแลผู้สูงวัยเป็นหน้าที่ของลูกหลาน เพราะค่านิยมคนญี่ปุ่น ไม่ต้องการเป็นภาระให้กับคนอื่น
-
ประเทศจีน 82% เห็นด้วยว่าการดูแลผู้สูงวัยเป็นหน้าที่ของลูกหลาน
ถึงตรงนี้จะเห็นได้ว่า สังคมผู้สูงวัย นำมาซึ่งโอกาสอันมหาศาล แต่ในขณะเดียวกันก็มาพร้อมกับคลื่นความเสี่ยงที่จะถาโถมมาอย่างไม่หยุดยั้ง ความเข้าใจอย่างสุดซึ้ง และการเตรียมพร้อมอย่างเคร่งครัดเท่านั้นที่จะสร้างโอกาสทางธุรกิจ ลดความเหลื่อมล้ำ และอุปถัมภ์การปรองดองของสังคมและคนในแต่ละช่วงอายุได้