เจาะลึกทริปจีนกับ OR ถอดกลยุทธ์ Green Energy พญามังกร พลิกธุรกิจพลังงานในไทย

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

ในขณะที่โลกกำลังตื่นตัวเรื่องภาวะโลกร้อน (Global Boiling) ประเทศจีนไม่ได้มองเรื่องนี้เป็นเรื่องวิกฤตที่ต้องแก้ไขเท่านั้น แต่จีนมองเรื่องนี้เป็น “โอกาสทางธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในศตวรรษ”

การเดินทางเยือนนครกวางโจวและซัวเถาของ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ (OR) ในครั้งนี้ ฉายภาพให้เห็นว่า จีนกำลังวิ่งด้วยความเร็วสู่เป้าหมาย Green Energy อย่างจริงจัง ด้วยความยพายามสร้างระบบนิเวศใหม่ทั้งเมืองตั้งแต่ “ต้นน้ำ” อย่างการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมและแสงอาทิตย์ ไปจนถึง “ปลายน้ำ” อย่างการบริหารจัดการพลังงานในระดับเมือง (Smart City) ที่ทุกอย่างเชื่อมโยงกันด้วยเทคโนโลยี AI และ Data

สิ่งที่น่าทึ่งก็คือการเดินหน้าสู่เป้าหมายที่ว่านั้นเกิดจากยุทธศาสตร์ระดับชาติที่ชัดเจน จนทำให้จีนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำโลกด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาด และทิ้งห่างชาติตะวันตกไปหลายช่วงตัวก็ว่าได้ ซึ่งคำถามสำคัญคือ “ประเทศไทย” และ “OR” ในฐานะผู้นำธุรกิจค้าปลีกน้ำมันและไลฟ์สไตล์ จะถอดรหัสความสำเร็จนี้ และนำมาพลิกโฉมธุรกิจพลังงานในบ้านเราได้อย่างไร?

กลยุทธ์ “เปลี่ยนเลนแซง” ของประเทศจีน

เบื้องหลังความสำเร็จแบบก้าวกระโดดของจีน คือวิธีคิดที่ ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน ที่ร่วมทริปไปด้วยเรียกว่ากลยุทธ์ “เปลี่ยนเลนแซง” (Change Lanes to Overtake)

ดร.ไพจิตร เล่าว่า จีนรู้ตัวดีว่าหากแข่งเรื่องเครื่องยนต์สันดาป (ICE) ต่อไป อีกกี่สิบปีก็ไม่มีทางสู้เจ้าตลาดเดิมอย่างยุโรปหรือญี่ปุ่นที่มีองค์ความรู้สะสมมาเป็นร้อยปีได้ จีนจึงตัดสินใจ “เปลี่ยนเลน” มาแข่งในสนาม EV และพลังงานใหม่ ซึ่งเป็นสนามที่ทุกคนเริ่มต้นพร้อมกัน และจีนทุ่มสุดตัวจนแซงขึ้นเป็นที่ 1 ของโลกได้สำเร็จ

นอกจากนี้ การขับเคลื่อนประเทศยังอยู่ภายใต้ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปี ฉบับที่ 15 (2026-2030)  แผนที่กำหนดทิศทางให้จีนมุ่งสู่การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีสีเขียวอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีเป้าหมายระยะยาวที่สำคัญคือ “China 2035” ซึ่งตั้งเป้าให้จีนก้าวขึ้นเป็น “ประเทศสังคมนิยมที่ทันสมัย” (Socialist Modern Country) ภายในปี 2035 ที่มีความแข็งแกร่งทั้งด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และคุณภาพชีวิตประชาชน

ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน

เป้าหมายสำคัญของ China 2035 คือการเพิ่มจำนวนชนชั้นกลางจาก 400 ล้านคน เป็น 800 ล้านคน ซึ่งหมายถึงตลาดผู้บริโภคขนาดมหึมาที่ใหญ่กว่าสหรัฐอเมริกาถึง 2 เท่า และการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน การที่จีนทุ่มทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐาน EV และพลังงานสะอาดในวันนี้ จึงชัดเจนว่าเป็นการปูทางสู่ความมั่งคั่งและความมั่นคงทางพลังงานในอนาคต

อีกเรื่องที่น่าสนใจก็คือความสำเร็จของจีนครั้งนี้ขับเคลื่อนโดย “รัฐวิสาหกิจ” ที่ทำงานตอบสนองนโยบายรัฐอย่างเคร่งครัดและรวดเร็ว โดยเป็นผู้นำในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้เอกชนรายย่อยกล้าเดินตาม และที่สำคัญจีนมีข้อได้เปรียบเรื่องความเร็วและ Economy of Scale ที่ทำให้ต้นทุนเทคโนโลยีลดลงอย่างรวดเร็ว จนสามารถส่งออกเทคโนโลยีเหล่านี้ไปทั่วโลกได้

อนาคตชาร์จเร็ซ และโมเดล Microgrid แห่งอนาคต

ที่บริษัท Baiyun Power Group บริษัทผู้ให้บริการพลังงานแบบครบวงจรก็พอที่จะทำให้เราได้เห็นภาพอนาคตที่มาถึงแล้วจริงๆ เพราะไฮไลต์สำคัญคือเทคโนโลยีหัวชาร์จ Extreme Fast Charge ที่เคลมสถิติ “ชาร์จ 1 นาที วิ่งได้ 100 กิโลเมตร” (อ้างอิงข้อมูลจากป้ายสาธิตเทคโนโลยี “Extreme Fast Charge” ณ Baiyun Power Group) นี่คือหลักฐานที่ชัดเจนว่า จีน มีเทคโนโลยีที่ลบ painpoint สำคัญของรถยนต์ EV ไปได้เรียบร้อยแล้ว และรถ EV จะกลายเป็นอนาคตการขนส่งแน่นอน

นอกจากความเร็ว สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือโมเดล Microgrid ที่บริหารจัดการพลังงานแบบครบวงจร ที่เริ่มตั้งแต่การผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ในพื้นที่ กักเก็บพลังงานไว้ในแบตเตอรี่ (Energy Storage) ทำการจ่ายไฟให้รถ EV โดยใช้ระบบ AI บริหารต้นทุนค่าไฟ ซื้อไฟจากรัฐในช่วงเวลาที่ราคาถูก และนำมาจ่ายไฟในราคาที่สามารถสร้างกำไรได้อย่างสมเหตุสมผล และยังสามารถรักษาเสถียรภาพของระบบไม่ให้ไฟตก แม้จะมีการชาร์จไฟพร้อมกันจำนวนมาก

ความน่าสนใจคือระบบนี้สามารถผลิตพลังงานสะอาดได้ในสัดส่วนที่สูงมาก โดยไฟฟ้าที่ผลิตจากโซลาร์เซลล์ในโครงการนี้คิดเป็นสัดส่วนถึง 85% ของพลังงานทั้งหมดที่ใช้ในระบบ Microgrid ซึ่งช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าลงได้อย่างมหาศาล โดยต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์อยู่ที่ประมาณ 0.3 – 0.4 หยวนต่อหน่วย (ประมาณ 1.5 – 2 บาท) ในขณะที่ค่าไฟฟ้าจากกริดปกติในช่วง Peak อาจสูงถึง 1 หยวนต่อหน่วย (ประมาณ 5 บาท) ส่วนต่างราคานี้คือกำไรที่จับต้องได้จริงจากการบริหารจัดการพลังงาน

และนี่ก็คือโมเดล “Energy as a Service” อนาคตของสถานีชาร์จที่จะกลายเป็น “ผู้บริหารจัดการพลังงาน” ไม่ใช่แค่คนขายไฟ ซึ่งในอนาคตก็เป็นไปได้ว่าจะเป็นทิศทางที่ OR กำลังมุ่งไป

จาก Auto Tech สู่ Green Power Source

นอกเหนือจากเทคโนโลยีชาร์จ คณะยังได้เยี่ยมชมงาน AUTO TECH China 2025 ซึ่งเป็นเวทีแสดงศักยภาพยานยนต์แห่งอนาคต ได้เห็นเทคโนโลยี Autonomous Driving และ Smart Cabin สิ่งเหล่านี้ทำให้เราเห็นภาพว่าอุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเปลี่ยนไปสู่ “พื้นที่ใช้ชีวิตเคลื่อนที่” ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการใช้เวลาในรถที่เพิ่มขึ้นขณะชาร์จไฟของ OR ด้วยเช่นกัน

อีกจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญคือ China Huaneng Group ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานที่เมืองซัวเถา ที่คณะได้เดินทางไปเห็น เป็นเหมือนแหล่งพลังงานต้นน้ำเพราะการใช้รถ EV จะสะอาดได้อย่างสมบูรณ์ “แหล่งกำเนิดไฟฟ้า” (Power Source) ต้องสะอาดด้วย ดังนั้น Huaneng ก็เลยงมุ่งเน้นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ทั้ง Solar Farm และ Offshore Wind เพื่อป้อนเข้าสู่ระบบด้วย

ความเชื่อมโยงที่น่าสนใจคือ Huaneng กำลังพัฒนาเทคโนโลยี V2G (Vehicle-to-Grid) ร่วมกับระบบโครงข่าย ซึ่งจะทำให้รถ EV ไม่ได้เป็นแค่ผู้ใช้ไฟ แต่กลายเป็น “Power Bank เคลื่อนที่” ที่สามารถขายไฟคืนกลับเข้าระบบได้ในช่วงเวลาที่ค่าไฟแพง หรือช่วยรักษาเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า นี่คือภาพ Ecosystem ที่สมบูรณ์แบบที่ OR กำลังศึกษาเพื่อนำมาปรับใช้ในไทยเช่นกัน

OR เดินหน้าสร้าง “Community Hub” ดึงคนใช้เวลาในพื้นที่

เมื่อกลับมามองบริบทประเทศไทย หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร OR มองว่าเราไม่จำเป็นต้อง Copy จีนมาทั้งดุ้น แต่ต้องหา “จุดสมดุล” ที่เหมาะสมกับคนไทย

เพราะแม้จีนจะมีหัวชาร์จ 600-800 kW แต่สำหรับโครงสร้างพื้นฐานไทย หากทุกคนชาร์จพร้อมกันด้วยความเร็วระดับนั้น อาจกระทบต่อระบบสายส่ง (Grid) ได้ดังนั้นจุดสมดุลใน 2 ปีนี้สำหรับไทยคือหัวชาร์จขนาด 120 – 180 กิโลวัตต์ ซึ่งเพียงพอสำหรับเทคโนโลยีรถปัจจุบันและเสถียรภาพของไฟฟ้าไทย โดย OR เตรียมเปิด “EV Hub” ในทำเลศักยภาพ เพื่อรองรับดีมานด์ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร OR

โจทย์ใหญ่ทางการตลาดคือพฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงจากยุคน้ำมัน ที่ใช้เวลาเติม 5-7 นาที ที่ลูกค้าทำได้ก็คือแวะร้านสะดวกซื้อแบบ Grab & Go แต่ในยุค EV ต้องใช้เวลาชาร์จ 30-45 นาที นั่นหมายถึงว่าการเดินแค่ร้านสะดวกซื้อไม่พออีกต่อไป

นี่คือที่มาของกลยุทธ์ “OR SPACE” ที่จะเปลี่ยนวิกฤตเรื่องเวลาให้เป็นโอกาส โดยปรับโฉม PTT Station ให้เป็น Community Hub หรือพื้นที่มิกซ์ยูสที่มีบริการครบวงจรเพื่อฆ่าเวลาอย่างมีคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็น ร้านสะดวกซัก (Otteri), ร้านอาหาร, คลินิก, บริการสุขภาพและความงาม (found & found) หรือพื้นที่พักผ่อน

เป้าหมายคือดึงคนออกมาจากรถเพื่อใช้จ่ายระหว่างรอชาร์จ เปลี่ยนสัดส่วนกำไร (Ticket Mix) จากน้ำมัน ให้กลายเป็น Lifestyle & Non-Oil 30% ในอนาคต

แผนรุกตลาดและเป้าหมาย 5 ล้านคน

หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร OR

OR ไม่ได้หยุดแค่การปรับปรุงสถานีบริการน้ำมันเท่านั้นแต่ยังขยายอาณาจักรด้วยกลยุทธ์หลายอย่างเพื่อดักจับลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการให้ได้ 5 ล้านคนต่อวันภายในปี 2028 ซึ่งกลยุทธ์ที่ว่านั้นก็เช่น

วางเป้าขยายสถานีชาร์จ EV Station PluZ ให้ครบ 7,000 หัวชาร์จ ภายในปี 2030 ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้ใช้รถ EV เดินทางได้ทั่วไทยอย่างไร้กังวล

ใช้เทคโนโลยีผ่าน “Intelligence Station” นำ AI และกล้องมาวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า คล้ายกับโมเดล Smart Retail ของจีน โดยตั้งเป้าติดตั้ง 200 สถานีในปีนี้ เพื่อให้รู้จักลูกค้าลึกซึ้งยิ่งขึ้นและนำเสนอสินค้าได้ตรงใจ

ส่วนของตลาดต่างประเทศ OR ปรับทิศทางหันมาโฟกัสกลุ่ม Upper Continental Southeast Asia โดยเฉพาะ ลาว และ พม่า เนื่องจากประเทศไทยมีความได้เปรียบเรื่องโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงกันได้ง่ายกว่า โดยมองว่าพม่าผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและเป็นตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตสูงในอนาคต

สรุปสิ่งที่ทั้งประเทศไทยและบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง OR ได้เรียนรู้จากทริปจีนครั้งนี้ก็คือ “อนาคตเป็นของคนที่กล้าปรับตัว” เมื่อมองจีนเป็นตัวอย่างเราเห็นได้ว่า จีนกล้า “เปลี่ยนเลน” จากสันดาปสู่ EV จนเป็นมหาอำนาจทางเทคโนโลยี Green Energy ส่วน OR เองก็กำลัง “เปลี่ยนเลน” จากธุรกิจน้ำมันสู่ธุรกิจบริหารเวลาและไลฟ์สไตล์ครบวงจรนั่นเอง


  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
CLOSE
CLOSE