แม้สถานการณ์โรคระบาดจะมีแนวโน้มดีขึ้นหลังจากมีวัคซีนเข้ามา แต่องค์กรระดับโลก หรือธุรกิจที่มีสาขาในหลาย ๆ ประเทศ ยังคงเลือกให้พนักงาน Work From Home ไม่ก็เปิดกว้างให้ทำงานแบบ Remote Workers เพื่อใช้เวลาอยู่กับครอบครัวซึ่งอาจอยู่ในท้องถิ่นที่ห่างออกไป ซึ่งพฤติกรรมการทำงานลักษณะนี้กำลังถูกเรียกว่าเป็น Digital Nomad หรือคนเร่ร่อนยุคดิจิทัล จากการที่พวกเขาพร้อมทำงานได้จากทุกสถานที่ ขอเพียงมีโน้ตบุ๊กและอินเทอร์เน็ตให้ใช้งาน
พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้บรรดา Remote workers ต้องการเดินทางไปใช้ชีวิตในประเทศต่าง ๆ เพื่อท่องเที่ยวและทำงานไปพร้อม ๆ กัน ซึ่ง Booking.com ได้ทำการสำรวจความเห็นจากนักเดินทาง 20,000 คน ที่ใช้เวลา Work From Home โดยพบว่า 1 ใน 3 ต้องการทำงานระยะไกลจากประเทศปลายทางต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เลือก ‘ไทย’ และประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย โดย 60% เลือกประเทศไทย 52% เลือกเวียดนาม 45% เลือกจีน และ 39% เลือกฮ่องกง โดยนักท่องเที่ยวที่สนใจส่วนใหญ่มาจากเม็กซิโก, บราซิล, โคลอมเบีย, อาร์เจนตินา, รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา
เหตุผลที่ทำให้เหล่า Digital Nomad เลือกเอเชียเป็นปลายทางของการทำงานระยะไกล คือ ต้องการใช้ชีวิตอย่างไม่เร่งรีบและถูกใจค่าครองชีพที่ต่ำกว่าประเทศของตน จึงทำให้ชาวต่างชาติเลือกเอเชียเป็นปลายทางที่อยากใช้ชีวิตและเข้ามาทำงาน ซึ่งหลัก ๆ อาจมี 2-3 เหตุผลที่ทำให้ผู้คนรู้สึกเช่นนั้น คือ สามารถใช้ชีวิตเพื่อพักผ่อนได้อย่างเต็มที่พร้อมกับมีอินฟราสตรัคเจอร์ที่จะสนับสนุนการทำงานได้เพียงพอ และมีโอกาสทางธุรกิจ มีอินฟราสตรัคเจอร์ที่ดีเยี่ยม รวมทั้งมีภูมิศาสตร์ที่อำนวยความสะดวกในการเดินทาง ซึ่ง ภูเก็ตและเชียงใหม่ ติดอันดับอยู่ในเหตุผลแรก ขณะที่ กรุงเทพฯ อยู่ในอันดับที่รวมเหตุผลทั้ง 2 ข้อเอาไว้ด้วยกัน ประกอบกับเงื่อนไขที่ไทยเปิดวีซ่าพิเศษให้นักท่องเที่ยวเข้ามาอยู่ได้นาน 90 วัน หลังจากมีการกักตัวอย่างน้อย 14 วัน ตามมาตรการโรคระบาด ยิ่งทำให้ประเทศไทยกลายเป็นปลายทางที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวและบรรดา Remote Workers ได้มากขึ้นอีก
นี่อาจกลายเป็นโอกาสครั้งใหญ่ที่ไทยจะได้ฟื้นฟูเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวนั่นเอง
ที่มา: CNBC
