เข้าใจ Work from Home ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจและโรคระบาด 

  • 1.3K
  •  
  •  
  •  
  •  

ในช่วงที่ COVID-19 กำลังถูกพูดถึงอย่างหนัก ทำให้การทำงานที่บ้าน หรือ Work from Home  (WFH) เป็นทางเลือกสำหรับพนักงานในการทำงาน เพื่อรับมือกับวิกฤติดังกล่าว ซึ่งการทำงานที่บ้านเองก็ได้เปลี่ยนวิธีการทำงาน เครื่องมือในการทำงานและติดต่อสื่อสาร แม้แต่ระยะเวลาในการทำงาน และสถานที่ทำงานที่เราไม่จำเป็นต้องเข้าไปในตัวเมืองเหมือนแต่ก่อน (ถ้าในช่วงนี้ก็คือหลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยง) ทำให้คนทำงานสามารถทำงานได้ตามชานเมืองหรือชนบท

ไม่แน่ว่าการทำงานที่บ้านอาจจะเป็นรูปแบบการทำงานในอนาคตก็ได้

Work From Home เป็นที่นิยมหลังวิกฤติเศรษฐกิจปี 2008

ปี 2008 ที่มีวิกฤติเศรษฐกิจ Global Financial Crisis จะเห็นจากกราฟได้ว่าสัดส่วนคนทำงานที่บ้านในอเมริกานั้นมากขึ้นเรื่อยๆจาก 4.1% ในปี 2008 เป็น 5.4% ในอีก 10 ปีต่อมา

เนื่องจากหลังปี 2008 ที่เศรษฐกิจชะลอตัวและยังไม่มีแนวโน้มว่าจะดีขึ้นในเร็ววัน บริษัทต่างๆพยายามลดต้นทุนให้ได้มากที่สุด รวมถึงลดขนาดของตัวออฟฟิศและสนับสนุนให้พนักงานออฟฟิศทำงานที่บ้านมากขึ้น 

Source: US Census Bureau American Community Survey; Recode by Vox

และผลที่ตามมาไม่ใช่แค่บรัษัทสามารถลดต้นทุนได้ แต่ตัวพนักงานเองก็ทำงานได้มากขึ้นด้วย จากการศึกษาของ Harvard Business Review พบว่าการทำงานที่บ้านนอกจากทำให้ตัวพนักงานทำงานได้งานมากขึ้นถึง 4.4% ยังทำให้อัตราคนลาออกจากบริษัทลดลงอย่างเห็นได้ชัด และจากการศึกษาของ Stanford University พบว่าในพนักงานกว่า 16,000 คนของเอเจนซี่ทัวร์ของจีนมีความสุขจากการทำงานมากขึ้น ลดอัตราคนออกจากงานได้กว่าครึ่ง 

นั่นเพราะตอนทำงานในออฟฟิศมักจะมีสิ่งรบกวน เช่นพักกินกาแฟ มีคนทักรบกวน เข้าสังคม แต่พอได้ทำงานที่บ้านแล้วทำงานได้มากขึ้น มีสมาธิมากขึ้น สามารถจัดการสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้มากขึ้น การทำงานที่บ้านทำให้พนักงานต้องรู้จักวางแผนตารางการทำงานมากขึ้น ทำให้พนักงานทำงานในตารางเวลาที่ยืดหยุ่นขึ้น Work-Life Balance เริ่มเป็นจริงมากขึ้นตามไปด้วย ทำงานได้มากขึ้น แถมมีเวลาให้ครอบครัว

ทำให้หลายบริษัทต้องการพนักงานที่มีทักษะในการทำงานนี่บ้าน หรือบริษัทเองต้องให้สิทธิการทำงานที่บ้านแก่ตัวพนักงาน

 

ผลกระทบจากการทำงานที่บ้านที่ไม่ค่อยมีใครคิดถึง

  1. ไม่ได้จดจ่ออยู่กับงานตลอดเวลา
  2. เหงา
  3. ประสิทธิภาพในการสื่อสารและทำงานร่วมกันลดลง
  4. มีสิ่งรบกวนในบ้าน
  5. Time Zone ระหว่างเพื่อนร่วมงานต่างกัน
  6. ความรู้สึกอยากทำงานลดลง

ที่ว่ามาทั้ง 6 ข้อเป็นข้อเสียของการทำงานที่บ้าน หลายคนไม่ชอบทำงานที่บ้าน เพราะที่บ้านสามารถปล่อยเนื้อปล่อยตัวจนไม่ได้ทำงาน การทำงานที่บ้านทำให้ธุรกิจไม่สามารถรักษาวัฒนธรรมขององค์กรเอาไว้ได้ ไม่เหมือนตอนที่งานในห้องเดียวกันที่ออฟฟิศ พนักงานยังอยากเห็นหน้าคุยกันอยู่ทุกวัน การประสานงานที่ออฟฟิศดีกว่าตอนทำงานที่บ้าน

ที่สำคัญคือการที่เทคโนโลยีเชื่อมต่อพนักงานตอลดเวลา นั่นอาจหมายถึง เราต้องพร้อมทำงานตลอดเวลาด้วยเช่นกัน จริงอยู่ที่หากทำงานที่บ้าน เราไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศตอน 9  โมง เลิก 5 โมงเย็น แต่นั่นหมายความว่าเราต้องทำงานก่อน 9 โมง และหลัง 5 โมงเย็นได้ด้วย

 

ธุรกิจที่เกิดขึ้นจาก Work from Home

พวกซอฟท์แวร์การสื่อสารในที่ทำงานอย่าง  Slack หรือ Video Conference อย่าง Zoom บริการพวกนี้ได้รับความนิยมส่วนหนึ่งมาจาก Work From Home โดยเฉพาะธุรกิจอย่าง “Coworking Space”

ซึ่ง Coworking Space มาจากการที่บริษัทมานั่งทบทวนปัญหาของตัวพื้นที่ในออฟฟิศเอง และบริษัทอยากให้มีพื้นที่สำหรับทั้งโฟกัสไปที่การทำงาน พื้นที่ทำงานร่วมกัน พื้นที่ส่วนตัวไว้คุยสองต่อสอง และพื้นที่ทำกิจกรรมร่วมกัน 

เพื่อให้พนักงานรู้สึกว่ามาทำงานที่ออฟฟิศก็เหมือนได้ทำงานที่บ้าน

 

แหล่งอ้างอิง How remote work is quietly remaking our live จาก Rani Molla


  • 1.3K
  •  
  •  
  •  
  •  
Sarunjade
แชร์มุมมองเกี่ยวกับ Digital Marketing, Digital Business และ Technology เท่าที่รู้ สามารถติชมหรืออยากให้เจาะลึกเรื่องไหนเป็นพิเศษ ส่งเมลมาเลยที่ contact@oopsnetwork.co.th