ในโลกของการลงทุนปัจจุบันไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ด้วยเทคโนโลยีทำให้ใครก็สามารถเข้ามาลงทุนได้ หากมีการบริหารจัดการด้านการเงินที่ดี ขณะที่การวิเคราะห์สถานการณ์ความเสี่ยงในการลงทุนก็มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วยเทคโนโลยี AI ที่ช่วยประมวลผล วิเคราะห์และคาดการณ์การลงทุน รวมถึงผู้เชี่ยวชาญที่ช่วยทำให้การตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนยุคใหม่ง่ายมากขึ้น
แต่ความยากของการลงทุนในปัจจุบัน ไม่ใช่เรื่องการเข้าถึงตลาดลงทุนหรือการวิเคราะห์ตลาด แต่เกิดจากสภาวะตลาดในประเทศไทยที่ยังคงไม่สามารถเติบโตต่อเนื่องได้ เนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดที่ต่อเนื่องและยาวนาน ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวกระทบไปถึงตลาดการลงทุน นักลงทุนหลายรายจึงเริ่มมองไปถึงตลาดการลงทุนในต่างประเทศ ส่งผลให้มูลค่ารวมของตลาดกองทุนรวมต่างประเทศทะลุ 1 ล้านล้านบาทไปเมื่อเดือนเมษายน 2564 ที่ผ่านมา
กระแสความสนใจในตลาดการลงทุนในต่างประเทศดังกล่าวจึงเป็นที่มาของการจัดงานสัมมนาออนไลน์ ในหัวข้อ “ติดปีกการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ” โดยตลาดหลักหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ FinVest แอปพลิเคชันเพื่อการลงทุนที่เพิ่งเปิดตัวฟีเจอร์ซื้อขายกองทุนรวมต่างประเทศได้เองโดยตรงได้สำเร็จเป็นแอปแรกของไทย โดยได้เชิญวิทยากรที่คร่ำหวอดในวงการลงทุนมาร่วมอัปเดตทิศทางความเคลื่อนไหวของตลาดการเงินโลกล่าสุด รวมทั้งกองทุนรวมตามเมกะเทรนด์ที่น่าสนใจ และโอกาสทำกำไรได้มากกว่าเดิมสำหรับนักลงทุนไทย
ที่ผ่านมา แม้นักลงทุนจะสนใจลงทุนในตลาดลงทุนระดับโลกจากอัตราการเติบโตที่น่าดึงดูด โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ดัชนีหุ้น NASDAQ ได้เติบโตขึ้นกว่า 5 เท่า แต่ก็ใช่ว่าใครๆ จะสามารถกำเงินไปลงทุนในตลาดต่างประเทศได้ เนื่องจากมีข้อจำกัดหลายอย่างที่นักลงทุนต้องทราบ ทั้งเรื่องระยะเวลาในการดำเนินการตามคำสั่งซื้อขายการลงทุน ขั้นตอนการซื้อขาย เงินลงทุนขั้นต่ำ ค่าธรรมเนียมในการซื้อขายหน่วยลงทุนที่ซ้ำซ้อนสำหรับการลงทุนต่างประเทศหากลงทุนผ่าน Feeder Fund เป็นต้น เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ปิดกั้นไม่ให้นักลงทุนไทยสามารถก้าวข้ามผ่านไปเพื่อแสวงหาการลงทุนที่มีประสิทธิภาพในช่วงระยะเวลาที่ตลาดลงทุนในประเทศไทยยังน่ากังวลกับสถานการณ์โรคระบาด
แต่ปัญหาเหล่านั้นแก้ง่ายๆ ด้วย FinVest แอปฯ สำหรับการลงทุนที่พัฒนาขึ้นจาก ความร่วมมือของ ธนาคารกสิกรไทย ลู อินเตอร์เนชันแนล และ กลุ่มโรโบเวลธ์ ช่วยให้นักลงทุนไทยสามารถ ซื้อขายกองทุนรวมต่างประเทศได้ด้วยตัวเองโดยตรง เปิดโอกาสให้นักลงทุนไทยได้เข้าถึงกองทุนรวมทั่วโลก กว่า 1,000 กองทุนจาก 33 บลจ.ชั้นนำ ช่วยลดปัญหาเรื่องค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อน สำหรับการลงทุนในตลาดกองทุนรวมต่างประเทศ จากเดิมที่นักลงทุนจะมีต้นทุนทั้งค่าธรรมเนียมกองทุนรวม Feeder Fund ในประเทศและค่าธรรมเนียมกองทุนแม่ และทำให้นักลงทุนมีตัวเลือกการลงทุนมากกว่า และเข้าถึงตัวเลือกกองทุนรวมต่างประเทศที่ตนเองสนใจได้อย่างเฉพาะเจาะจง หากเทียบกับการลงทุนผ่านกองทุนรวม Feeder Fund ที่อาจลงทุนเฉพาะบางกองทุนรวมในต่างประเทศตามมุมมองของ บลจ. และผู้บริหารกองทุนนั้น ๆ
การลงทุนในกองทุนรวม ต่างประเทศที่สามารถเลือกได้เอง (Open Architecture) เป็นรูปแบบแพลตฟอร์มของ FinVest ที่ช่วยให้นักลงทุนเข้าถึงการลงทุนบางหมวดธุรกิจที่ไม่มีในตลาดหุ้นไทย สร้างความท้าทายสำหรับการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีโอกาสมากกว่าและหลากหลาย ช่วยกระจายความเสี่ยงได้มากกว่า และนักลงทุนยังสามารถบริหารการลงทุนและความเสี่ยงให้ทันสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ FinVest จะมีบทความชี้เป้ากองทุนเด่นอัปเดตประจำทุกสัปดาห์เพื่อแนะนำกองทุนที่น่าสนใจให้นักลงทุนไม่พลาดโอกาสและจังหวะการเข้าซื้อ
นอกจากนี้นักลงทุนยังไม่ต้องกังวลเรื่องสกุลเงินตราที่จะใช้ในตลาดต่างประเทศ เพราะ FinVest มีฟังก์ชันรองรับให้นักลงทุนสามารถลงทุนผ่านเงินบาทของไทยได้ โดยธนาคารกสิกรไทยจะเป็นผู้ดำเนินการแลกเปลี่ยนเงินตราตามสกุลเงินประเทศที่นักลงทุนไปลงทุนอัตโนมัติ โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบ Real-time และ FinVest ยังให้นักลงทุนสามารถลงทุนกองทุนรวมต่างประเทศโดยตรงได้ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 30,000 บาทเท่านั้น น้อยกว่าแพลตฟอร์มอื่นในประเทศไทย เช่น ผ่าน Private Wealth ด้วยรูปแบบการใช้งานที่ง่ายไม่ซับซ้อน แค่นักลงทุนต้องตัดสินใจให้ดีก่อนการลงทุน
เมื่อพูดถึงการตัดสินใจลงทุนแล้ว FinVest ยังมีผู้เชี่ยวชาญด้าน Wealth Tech ที่ช่วยผู้ดูแลการให้บริการของ FinVest รวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนที่จะคอยให้คำปรึกษาการลงทุนในตลาดต่างประเทศ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน โดยปัจจุบันมีผู้ใช้งาน FinVest ประมาณ 130,000 คน โดยมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 26 – 30 ปี และส่วนใหญ่เป็นพนักงานบริษัทที่สนใจการลงทุน โดยกว่า 80% จะเน้นลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุนต่างประเทศ
และเพื่อสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนไปอีกขั้น FinVest จึงมีการคัดเลือกกองทุนรวมในตลาดต่างประเทศที่น่าสนใจผ่านการคัดเลือกโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน โดยช่วงเปิดตัว FinVest นักลงทุนสามารถลงทุนแบบฟรีค่าธรรมเนียมจากการขายหน่วยลงทุน (Front-end-fee) แบบไม่มีเพดาน สำหรับ 5 กองทุนแนะนำตั้งแต่วันนี้-15 พฤศจิกายน 2564
โดย 5 กองทุนรวมต่างประเทศที่ FinVest แนะนำประกอบด้วย กองทุน RobecoSAM Smart Mobility จาก Robeco เน้นลงทุนในบริษัทชั้นนำทางด้านเทคโนโลยี ยานยนต์ไฟฟ้าและยานยนต์ไร้คนขับ กองทุน Global Energy Transition จาก Schroder ISF เน้นลงทุนในบริษัทชั้นนำด้านธุรกิจและเทคโนโลยีพลังงานสะอาดระดับโลก กองทุน Blockchain Innovation จาก BNY Mellon เน้นลงทุนในบริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชนในหลากหลายอุตสาหกรรม
กองทุน Healthcare Innovation จาก Schroder ISF เน้นลงทุนในบริษัทชั้นนำด้านอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์ รวมทั้ง Johnson & Johnson, AstraZeneca, Pfizer และ กองทุน Worldwide Long Term Global Growth Fund จาก Baillie Gifford เน้นลงทุนในบริษัทที่มีโอกาสเติบโตโดดเด่นจากทั่วโลก และมีความสามารถในการแข่งขันสูง
ทั้งหมดนี้คือรูปแบบการลงทุนในตลาดกองทุนรวมต่างประเทศที่เรียกว่าเป็นโอกาสใหม่ของนักลงทุนที่ง่าย สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยภายใต้การกำกับและดูแลโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และยังสร้างมูลค่าเพิ่มให้การลงทุนยุคที่ตลาดลงทุนในไทยยังซบเซาและเป็นกังวลจากสถานการณ์โรคระบาดที่เป็นอยู่
นักลงทุนสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน FinVest ได้ที่ https://finvest.onelink.me/CoWV/cd3af18f
และสามารถดูงานสัมมนาออนไลน์ “ติดปีกการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ” ย้อนหลัง พร้อมติดตามเทรนด์การลงทุนทั่วโลกได้ที่เฟซบุ๊ก FinVest และเว็บไซต์ https://bit.ly/3nQ1G1u