ช่วงที่ผ่านมา สถานการณโรคระบาดไม่ได้ทำร้ายแค่ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรมหรือสายการบินเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อธุรกิจร้านอาหารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะมาตรการ Social Distancing ที่ส่งผลให้ร้านค้าต้องปิดตัวแล้วหันมาให้บริการผ่าน Delivery แต่ถึงอย่างนั้นร้านอาหารก็ยังได้รับผลกระทบ เมื่อเทียบยอดขายหน้าร้านกับช่องทาง Delivery
“ซานตา เฟ่” ร้านอาหารสเต๊กและอาหารสไตล์ตะวันตก ก็ได้รับผลกระทบไม่น้อยเช่นกันส่งผลให้รายได้ลดลงถึง 30% โดยปัจจุบันมีร้านค้าเปิดให้บริการกว่า 114 แห่ง ภายในศูนย์การค้าชั้นนำทั่วประเทศ และเพื่อขยายธุรกิจไปยังสู่กลุ่มคนที่เร่งรีบมีเวลาน้อยในการเข้าห้าง โดยเฉพาะคนที่เดินทางบ่อย ซานตา เฟ่ จึงโทเดลร้านอาหารใหม่อย่าง “SANTA FE’ EASY” (ซานตา เฟ่ อีซี่)
โดย คุณปิติ ภิรมย์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด (Food Factors) ชี้ว่า การเข้าร่วมลงทุนกับ บริษัท เคที เรสทัวรองท์ฯ (KTR) ร้านซานตา เฟ่ สเต๊ก (Santa Fe’ Steak) ถือเป็นการลงทุนที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์หลักของกลุ่มบุญรอดบริวเวอรี่ โดยเฉพาะพฤติกรรมผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกรวดเร็วมากขึ้น
ธุรกิจหมวดร้านอาหารจึงต้องปรับรูปแบบ ทั้งร้านบริการแบบด่วน (Quick Service Restaurant – QSR), บริการส่งถึงบ้าน (Delivery) และบริการสั่งกลับบ้าน (Take Away) ซานตา เฟ่ เองก็เห็นโอกาสและช่องว่างทางการตลาดดังกล่าวซานตา เฟ่ อีซี่ จึงเป็นร้านค้าที่เน้นความรวดเร็วในราคาคุ้มค่า และสอดรับกับการให้บริการทั้ง 3 แบบ
ร้านอาหารประเภทสเต๊กยังคงได้รับความนิยมจากผู้บริโภค และยังสามารถให้บริการในรูปแบบ QSR ได้ โดยมูลค่าตลาดรวมร้านอาหารสเต๊กมีประมาณ 20,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มตลาด ทั้งกลุ่มตลาดไฮเอนต์ที่ขายอยู่ในโรงแรมและร้านอาหารเชนต่างชาติมีมูลค่ารวมประมาณ 1,200 ล้านบาท ขณะที่ร้านอาหารสเต๊กที่อยู่ในห้าง รวมถึงซานตา เฟ่ มีมูลค่ารวมอยู่ที่ประมาณ 3,500 ล้านบาท ขณะที่ร้านอาหารสเต๊กนอกห้าง (ตึกแถว) มีมูลค่ารวมประมาณ 5,000 ล้านบาท และกลุ่มร้านอาหารสเต๊กรถเข็นมีมูลค่าราว 7,000-8,000 ล้านบาท
ด้าน คุณสุรชัย ชาญอนุเดช CEO บริษัท เคที เรสทัวรองท์ จำกัด ชี้ว่า SANTA FE’ EASY จะเน้นเปิดให้บริการผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายภายในศูนย์การค้าขนาดเล็กหรือคอมมูนิตี้มอลล์, สถานีบริการปั๊มน้ำมัน และอาคารสำนักงานออฟฟิศ รวมถึงทำเลที่มีผู้บริโภคชื่นชอบและต้องการร้านอาหารบริการด่วน โดยร้าน SANTA FE’ EASY จะมีขนาดเล็ก ลงทุนน้อยกว่าสาขาปกติ และมีพื้นที่ในการขยายสาขาได้มากกว่าสาขาปกติ
โดย ซานตาเฟ่ อีซี่ จะเน้นความสะดวก รวดเร็ว ซึ่งใช้เวลาต่อการทำเมนูอยู่ที่ 7-9 นาที เนื่องจากบางเมนูมีการทำไว้แล้วพร้อมเสริฟได้ทันที ขณะที่บางเมนูผ่านกระบวนการปรุงก็สามารถเสริฟได้ทันทีเช่นกัน แต่ยังคงความอร่อยและคุณภาพของสเต๊กถายใต้แนวคิด “Fast Serve…Self-Service” สำหรับเมนูอาหารจะเหมือนกับสาขาหลักประมาณ 60% อีก 40% จะเป็นเมยูที่คิดขึ้นมาใหม่สำหรับเฉพาะร้าน ซานตาเฟ่ อีซี่ เท่านั้น
ซึ่ง ซานตาเฟ่ อีซี่ ยังคงมีเมนูทั้งแบบจานเดี่ยวและแบบเซ็ตเช่นที่สาขาหลัก โดยเป้าหมายในปีนี้จะมีการขยายร้านค้าภายใต้แบรนด์ ซานตา เฟ่ อย่างน้อย 15 แห่ง โดยเป็น ซานตาเฟ่สาขาหลักในห้างสรรพสินค้าจำนวน 9 แห่งแบ่งเป็น ลงทุนเปิดเอง 5 แห่งและเป็น Franchise อีก 4 แห่ง ขณะที่ ซานตาเฟ่ อีซี่ จะเปิดเพิ่มขึ้นอีก 6 แห่ง โดยการทำโปรโมชั่นของทั้งสาขาหลักจะแตกต่างกับสาขาอีซี่ เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่แตกต่างกัน
นอกจากนี้การขยายร้าน “ซานตา เฟ่ อีซี่” ยังช่วยให้แบรนด์เพิ่มโอกาสเสิร์ฟสเต๊กจากกลุ่มคนในเมือง สู่กลุ่มเป้าหมายในวงกว้างให้ครอบคลุมตลาดทั่วประเทศไทยมากยิ่งขึ้น รองรับการขยายร้านในรูปแบบของ Franchise ได้ด้วย ช่วยเพิ่มโอกาสในการเปิดร้านเสิร์ฟความอร่อยของสเต๊กสไตล์เฉพาะตัวของซานตา เฟ่ อีซี่ ให้แก่ผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึงยิ่งขึ้น
โดย “ซานตา เฟ่ อีซี่” สาขาแรก ตั้งอยู่ที่ไลฟ์เซ็นเตอร์ อาคารคิวเฮ้าส์ ลุมพินี ชั้น G เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่ปีที่ผ่านมา และล่าสุดได้ขยายสาขาไปในสถานีบริการน้ำมัน เดอะเรส แอเรียท์ ปตท.ประชาชื่น โดยตั้งเป้าขยายสาขาเฉพาะซานตา เฟ่ อีซี่ ออกไปอีก 200 สาขาทั่วประเทศ
สำหรับภาพรวมธุรกิจร้านอาหารทุกประเภทปี 2560 มีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 836,997 ล้านบาท โดยร้านอาหารบริการด่วน (QSR) มีมูลค่าประมาณ 105,962 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 12.7% ของทั้งตลาด และร้านอาหาร Delivery และสั่งกลับบ้านมีมูลค่าประมาณ 29,180 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 3.5% นอกจากนี้ Euromonitor ยังได้ประเมินธุรกิจร้านอาหาร Delivery และสั่งกลับบ้านจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 11.7% ต่อปี โดยคาดว่าภายในปี 2565 มูลค่าตลาดร้านอาหารบริการด่วนจะมีมูลค่าถึง138,000 ล้านบาท หรือเติบโตเฉลี่ย 5.5%
