บริการ Streaming คู่แข่งหรือพันธมิตร? ฟังคำตอบจาก “จินา GDH” พร้อมเปิดใจ “นาดาว” ยุติบทบาทเพราะ “ย้ง ทรงยศ” หมดแพชชั่น

  • 363
  •  
  •  
  •  
  •  

ถือเป็นสัญญาณที่ดีในหลายๆ องค์ประกอบที่น่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ รวมไปถึงอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย ซึ่งที่ผ่านมาได้รับผลกระทบอย่างหนักจากโควิด ล่าสุด GDH เปิด 4 โปรเจ็กต์ใหม่ 3 หนังรัก 1 หนังผี เตรียมจ่อคิวฉาย ตลอดครึ่งปี 2565 นี้

แต่นอกเหนือจากความท้าทายของการที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์โรคระบาดแล้ว ก็ต้องบอกว่าการต่อสู่กับระบบของสตรีมมิ่ง ก็เป็นคู่แข่งคนสำคัญ โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเรื่องนี้ “จีน่า” ผู้บริหาร GDH 559 ยอมรับว่าเป็นความท้าทายของคนทำหนัง ที่จะต้องทำหนังให้น่าดูมากจนคนต้องออกมาดูที่โรงหนังก่อน

จินา โอสถศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า จำกัด เปิดแถลงข่าว โปรเจ็คต์หนังใหม่ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 ซึ่งปีนี้ GDH เตรียมส่ง 3 ภาพยนตร์รัก 1 ภาพยนตร์สยองขวัญ ที่คับคั่งไปด้วยทัพนักแสดงและผู้กำกับมากฝีมือ ที่จ่อคิวมอบความสุขให้คอภาพยนตร์ไทยได้ติดตามตลอดครึ่งปี 2565 และยอมรับว่าปีนี้ถือว่าเป็นความท้าทายมากที่สุด เพราะรวมๆ แล้วปีนี้มีหนังเข้าโรงทั้งหมด 5 เรื่องด้วยกัน ซึ่งรวมไปถึงเรื่อง “Fast & Feel Love เร็วโหด…เหมือนโกรธเธอ” ที่เพิ่งเข้าโรงหนังไปเมื่อเมษายนที่ผ่านมา โดยปกติจะวางไว้ว่าอย่างน้อยมีหนัง 3 เรื่องต่อปี

 

การเผชิญหน้ากับ Streaming โอกาสที่ท้าทาย

แต่ความท้าทายใหม่ที่นอกเหนือการแข่งกับตัวเองแล้ว ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือการที่ต้องแข่งกับคอนเทนต์ต่างๆ มากมายที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะบริการ “สตรีมมิ่ง” ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า เป็นทั้งคู่แข่ง และพันธมิตรในเวลาเดียวกัน แต่สำหรับ “จิน่า” แล้วกลับมองว่า ถือเป็นเรื่องดี

เราถือว่าเป็นผลดี เพราะว่าเราฉายที่โรงภาพยนตร์ ก็เป็นโอกาสของคนที่ไม่ได้ไปดูที่โรง เพราะกลุ่มหลักของคนไปดูที่โรงส่วนใหญ่คือวัยรุ่น 15 ถึงเฟิร์สจ็อบเบอร์ แต่พอบางคนเริ่มมีครอบครัวก็อาจจะไม่มีเวลาพอ แต่คนเหล่านี้ก็ยังอยากดูหนังอยู่ นั่นแหละสตรีมมิ่งอยู่ตรงนั้น มันคือวินโดว์ถัดไปที่คนสามารถไปดูได้ ซึ่งสำหรับ GDH ถือว่าเป็นผลดี เพราะว่า หนึ่ง เราได้ขายสิทธิ์ให้เขาเอาไปฉาย สอง ทำให้คนเห็นหนังเรามากขึ้น และไม่เฉพาะในประเทศ Netflix ไปทั่วโลก เราก็จะมีคนดูที่เพิ่มมากขึ้น หรือสตรีมมิ่งอื่นๆ ที่กำลังเดินทางเข้ามาอีก 2-3 แห่ง เร็วๆ นี้ก็มีติดต่อมาอีกหลายเจ้า เช่น HBO Go หรือแม้แต่ Amazon Prime ซึ่งจะเห็นความชัดเจนปีหน้อย่างแน่นอน

 

“เพียงแต่ว่าเราจะต้องทำหนังยังไงให้คุณภาพของเรา หรือความน่าดูของเราเกิดขึ้นตั้งแต่ในโรงภาพยนตร์ทันที ไม่ใช่ว่ารออีก 3 เดือนค่อยไปดู แปลว่าเราทำหนังไม่โดนใจ แล้วก็ต้องทำให้ดีอย่างไรเพื่อที่จะสู้กับงานที่มีอยู่มากมายให้ได้”

 

การบุกตลาดต่างประเทศ เป้าหมายจับมือฝั่งอเมริกาละตินบ้าง

นอกจากนี้การบุกตลาดต่างประเทศ ก็ยังคงเป็นหมุดหมายสำคัญของ GDH อยู่ โดยเฉพาะในช่วงที่ #SoftPower ของไทยกำลังร้อนระอุ

จินา บอกว่า GDH เราทำหนังมา 20 ปีแล้ว ตั้งแต่ “สตรีเหล็ก” ซึ่งนอกจากคนไทยที่เราอยากทำให้ดีแล้ว เราอยากทำหนังออกไปให้คนทั่วโลกได้ดูด้วย จุดนี้ก็ต้องขอบคุณ คุณโต้ง บรรจง ที่ทำ “ร่างทรง” และ คุณบาส จาก “ฉลาดเกมส์โกง” ซึ่งเป็นหนังที่เราร่วมทุนกับต่างประเทศ ซึ่งในเกาหลีและจีนโด่งดังมาก ในเมืองไทยก็ทำรายได้ที่ดีมาก 112 ล้านทั่วประเทศเราแฮปปี้มาก แต่สิ่งที่เราปลื้มมากคือคนชอบหนังเรื่องนี้และมาตรฐานของหนังเรื่องนี้มันเทียบได้กับหนังสากลเรื่องอื่นๆ ดังนั้น มันจึงสมกับความตั้งใจของเราที่จะทำให้หนังออกไปไกลประเทศไทย และไม่ใช่แค่จีนเกาหลี แต่ประเทศรอบๆ ของเราก็ชื่นชอบคอนเทนต์ไทย และมีการติดต่อมาว่าอยากทำธุรกิจร่วมกันสร้างหนังด้วยกัน

สำหรับปีนี้เรามีความตั้งใจอยากจะได้พาร์ทเนอร์จากทางฝั่งอเมริกาบ้าง หรือละตินอเมริกาก็ดี เพราะทราบมาว่าเขาก็ชอบเพลงของเราและชอบวัฒนธรรมอะไรที่คล้ายกับเรา นี่คือสิ่งที่เราต้องการ

 

ตั้งเป้าปี 2565 รายได้ 700 ล้าน จากหนัง 5 เรื่อง

ในปีนี้แม้ว่าหนังเรื่อง “Fast & Feel Love เร็วโหด…เหมือนโกรธเธอ” จะไม่เข้าเป้า แต่หนังใหม่ทั้งหมดของ GDH ในปีนี้ ที่เราทำ เราก็ตั้งเป้าว่าเราอยากจะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 700 ล้านบาท ซึ่งรายได้ของเราไม่ได้มีแค่ในประเทศแต่รวมไปถึงต่างประเทศด้วย และการขายลิขสิทธิ์ให้กับสตรีมมิ่ง

ในส่วนของรายได้ในปีที่ผ่านๆ มา รายได้ที่ดีสุดคือ ปี 2561- 2562 ทำรายได้ดีที่สุด อยู่ที่ประมาณ 400 กว่าล้านบาท และทำกำไรไปเกือบ 100 ล้านบาท ทั้งสองปีเลย พอปี 2563 ก็เข้าสู่สภาวะการณ์โควิด ก็มีรายได้ประมาณ 300 ล้านบาท แต่ก็ยังทำกำไรได้อยู่ประมาณ 70 กว่าล้านบาท

เมื่อถามถึงเงื่อนไขของการเข้าโรงหนังที่มีข้อกำหนดเว้นระยะห่างแบบ 2 เว้น 1 ตามมาตรการรัฐ จะส่งผลต่อรายได้หรือไม่ จินา กล่าวอย่างมั่นใจว่า ถึงแม้จะเป็นแบบนั้น แต่รายได้ต่อวันของการเข้าชมโรงหนังเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 50-60 ล้านบาท เฉพาะในกรุงเทพฯ ถ้ารวมต่างจังหวัดด้วยก็เกือบ 100 ล้านบาท ดังนั้น คิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือการที่เราต้องเอาคนดูออกมาดูหนังในโรงให้ได้ และโรงภาพยนตร์เองก็มีมาตรการดูแลเรื่องความปลอดภัยที่ดีอยู่แล้ว จึงคิดว่าตรงนี้ยังไม่ได้น่ากังวลมากนัก

 

เปิดใจเรื่อง “นาดาว” ยืนยันไม่ได้ปิดกิจการ รอเวลา “ย้ง” กลับมา

จินา ยังกล่าวถึง กรณี บริษัท นาดาว บางกอก ที่มี ย้ง ทรงยศ สุขมากอนันต์ เป็นกรรมการผู้จัดการ ประกาศขอยุติบทบาท ว่า เหตุการณ์การยุติบทบาท เริ่มเมื่อ 2 ปีก่อน เพราะว่า พี่ย้ง รู้สึกว่าเขากำลังหมดแพสชั่น ในขณะที่น้องๆ นักแสดงมาเพิ่มมากมายแต่ตัวเขา คนที่กำลังทำ กลับรู้สึกอ่อนแรง แพสชั่นของเขาไมได้อยู่ที่เดิม เขาไม่ได้อยากทำซีรี่ส์ ไม่อยากทำอะไรเหมือนเดิมซ้ำๆ เขาอยากทำสิ่งใหม่ ซึ่งก็มีการคุยกัน และบวกกับการที่นักแสดงของเราและศิลปินของเราก็มีโอกาสแล้วก็มีทางเลือกทางเดินของตัวเอง

“ต้องบอกก่อนว่า 12 ปีที่แล้วจินาเป็นคนขอให้พี่ย้ง (ทรงยศ) เปิดนาดาว ณ ตอนนั้นเรามีนักแสดงอยู่ 3-4 ท่าน จีดีเอชเป็นบริษัททำหนังไทย ทำคอนเทนต์ ตอนนั้นเรามีนักแสดง ซันนี่(ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์) เต๋อ(ฉันทวิชช์ ธนะเสวี) เปอร์(สุวิกรม อัมระนันทน์) ไมเคิล(ศิรชัช เจียรถาวร) พี่ย้งอยากทำงานโปรดักชั่น เราเห็นพี่ย้งกับน้องบอมบ์ (จงจิตต์ อินทุ่ง) ดูแลนักแสดง เราอยากจะทำพัฒนาศิลปิน แต่เราทำไม่เป็นก็ให้พี่ย้งเปิดบริษัทแล้วช่วยทำให้เราหน่อยได้ไหมกับสิ่งที่พี่ย้งอยากทำอะไรก็ได้ที่พี่ย้งเป็นแพสชั่น อันนั้นคือ 12 ปีที่แล้ว”

ท้ายสุดในฐานะเราเป็นคนทำงาน อะไรที่คนทำงานมีแพสชั่นและไม่มีแพสชั่นเราจะเคารพในสิ่งนั้น จนพี่ย้งบอกว่าผมได้เริ่มคุยกับนักแสดงภายใน 2 ปีที่ผ่านมาเดี๋ยวเราจะค่อยๆ หาวิถีทางแล้วก็ยุติ

อย่างไรก็ตาม จินา ระบุว่า การยุติบทบาท แต่ไม่ได้ปิด นาดาวไม่ได้ปิด ยังเป็นบริษัทที่ พี่ย้ง ยังถือหุ้นใหญ่อยู่ และเราเข้าไปถือหุ้นในการช่วยดูแลศิลปิน ซึ่งปีที่ผ่านมาก็ถือว่าบริษัทนาดาว ทำผลกำไรให้เราดีมาก เพียงแค่ว่า แพสชั่นหมด แค่เขาไม่อยากทำพาร์ทตรงนี้แล้ว แต่ยังมีอนาคตใหม่ๆ หรือสิ่งใหม่ๆ ที่รอพี่ย้งกลับมาทำอยู่ เมื่อเขาค้นหาได้ว่าอยากทำอะไร ก็จะกลับมาทำต่อ ซึ่งอาจจะไม่ใช้ชื่อนาดาวก็ได้ ก็อาจจะเป็นชื่ออื่นหรือชื่อเดิมก็ยังต้องรอติดตาม ทั้งนี้ ยืนยันว่าการยุติบทบาทไม่ได้มีปัญหาเป็นการภายใน นักแสดงทุกคนยังคุยกันดี ไม่มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้ง

“เพราะฉะนั้นนาดาวยุติบทบาทไม่ได้แปลว่าปิดบริษัท บริษัทยังมีอยู่ก็รอดูว่าแพสชั่นใหม่ของพี่ย้งซึ่งถ้าเรารู้จักเขาดีแกคงไม่หยุดนิ่ง พี่เชื่อว่าเขาไม่ได้หยุด เขาแค่พัก หาแพสชั่นใหม่ๆ เดี๋ยวคงกลับมาในไม่ช้านี้ แล้วพี่ย้งก็อาจจะดูว่าใครเหมาะสมที่จะมาถือหุ้นในการทำสิ่งใหม่ๆ ของเขา”

 

GDH เปิด 4 โปรเจ็กต์ใหม่ 3 หนังรัก 1 หนังผี จ่อคิวฉายตลอดครึ่งปี 

ประเดิมด้วย บุพเพสันนิวาส 2 ภาพยนตร์ร่วมทุนสร้างระหว่าง GDH และ บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น ที่หยิบนำละครระดับปรากฏการณ์อย่าง บุพเพสันนิวาส มาต่อยอดเรื่องราวเป็นภาพยนตร์จอเงิน โดยได้ ปิ๊ง-อดิสรณ์ ตรีสิริเกษม จาก รถไฟฟ้า มาหานะเธอ (2552) และละคร น้ำตากามเทพ (2558) มานั่งแท่นผู้กำกับ พร้อมด้วยทัพนักแสดงชุดเดิม ได้แก่ โป๊ป-ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ และ เบลล่า-ราณี แคมเปน เสริมทัพด้วย ไอซ์-พาริส อินทรโกมาลย์สุต, กิ๊ก-สุวัจนี พานิชชีวะ, ปุ๊กกี้-ปวีณ์นุช แพ่งนคร, บ๊อบบี้-นิมิตร ลักษมีพงศ์, นน-ชานน สันตินธรกุล ฯลฯ โดยภาพยนตร์มีกำหนดเข้าฉายวันที่ 28 กรกฎาคมนี้  ซึ่งเรื่องนี้ ยืนยันว่าไม่ใช่ “บุพเพสันนิวาส 2” ภาค 2 ซึ่งลงทุนสร้างไปมากกว่า 100 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังมี OMG!-Oh My Girl (Working Title) ภาพยนตร์รักที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง GDH, Hello Filmmaker และ iSM ซึ่งเป็นผลงานการกำกับภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรกของ พงศ์-ฐิติพงศ์ เกิดทองทวี ผู้กำกับจาก Hello Filmmaker ที่เคยฝากผลงานมิวสิกวิดีโอสุดซึ้งมาแล้วอย่าง ขอ จากศิลปิน Lomosonic และ ซ่อนกลิ่น จากศิลปิน Palmy ฯลฯ ในส่วนทีมนักแสดงนำประกอบด้วย จูเน่-เพลินพิชญา โกมลารชุน, สกาย-วงศ์รวี นทีธร, พีช-พชร จิราธิวัฒน์, พลอย หอวัง, ปันปัน-รสิกา สายแสง (PANPAN YEEYEE), เหมย-ณภัสนันท์ สิรินดาศุภสิริ, ไมเคิล พิว, ต๊ะ-ศิวัช ศิริชัย (Tah and Friends) และ เล็ก-วสุ ปลื้มสกุลไทย โดยภาพยนตร์มีกำหนดเข้าฉายในเดือนกันยายนนี้

อีกเรื่องน่าสนใจไม่แพ้กันกับการประกบคู่ครั้งแรกของ เวียร์-ศุกลวัฒน์ คณารศ และ มิว-นิษฐา จิรยั่งยืน กับเรื่อง Home For Rent (Working Title) ภาพยนตร์สยองขวัญเรื่องล่าสุดของผู้กำกับ จิม-โสภณ ศักดาพิศิษฏ์ ที่เคยเขย่าขวัญผู้ชมมาแล้วใน ลัดดาแลนด์ (2554) ภาพยนตร์มีกำหนดฉายในเดือนตุลาคมนี้

และปิดท้ายปลายปีด้วยภาพยนตร์รักเรื่อง You & Me (Working Title) โดยสองผู้กำกับ วรรณแวว และ แวววรรณ หงษ์วิวัฒน์ จากซีรีส์ Great Men Academy สุภาพบุรุษสุดที่เลิฟ (2562) และยังได้ โต้ง-บรรจง ปิสัญธนะกูล จาก แฟนเดย์..แฟนกันแค่วันเดียว (2559) มาดูแลในตำแหน่งโปรดิวเซอร์ โดยภาพยนตร์มีกำหนดเข้าฉายในเดือนธันวาคมนี้


  • 363
  •  
  •  
  •  
  •  
pigabyte
การเรียนรู้ไม่มีวันจบสิ้น มาเรียนรู้และสนุกไปกับบทความ จาก MarketingOops! กันนะคะ แล้วเราจะได้ค้นพบว่าโลกของ Marketing นั้น So Sexy and Cool!