ใครเป็นแฟนหนังตัวยงของค่ายอนิเมชั่นดังระดับโลกอย่าง Disney คงเห็นด้วยกับผมว่า ระยะหลังเนื้อหาของภาพยนตร์ที่ปล่อยออกมาเริ่มกระเถิบตัวเข้าหา “ความเป็นวัยรุ่น” มากขึ้นกว่าสมัยเราเป็นเด็กๆ เยอะเชียว
ยกตัวอย่างเช่น หากเรานำ Beauty and the Beast (1991) โฉมงามกับเจ้าชายอสูร มาเทียบชนกับ Enchanted (2007) มหัศจรรย์รักข้ามภพ หักลบเวลาทั้งสองเรื่องฉายห่างกัน 16 ปี ด้านอนิเมชั่นหรือเทคนิคการวาดไม่ต้องพูดถึง ย่อมต่างกันตามเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นบนพื้นฐานเวลา แต่หัวใจหลักของเนื้อเรื่องที่ Enchanted มีการพัฒนานั้นน่าสนใจและน่ากล่าวถึง โดย Beauty and the Beast อาจเล่นประเด็นเรื่อง ความซื่อสัตย์ ความไว้วางใจ และความกตัญญู ซึ่งเข้าใจง่ายและสื่อสารง่าย แต่ก็ไปได้ไม่ไกลและไม่สามารถพัฒนาเป็นปมขัดแย้งระดับ “เงื่อน” ระหว่างโลกแห่งความเป็นจริงและโลกแห่งเทพนิยายเหมือนอย่างที่ Enchanted นำเสนอได้ ที่น่าสนใจขึ้นไปอีกคือ ประเด็นที่ Enchanted ต้องการสื่อสารยังคงเรื่อง ความเชื่อใจ ความซื่อสัตย์ เหมือนอย่างเทพนิยายโบราณ แต่มันถูกตีแผ่และมองจากหลายๆ มุม จากคนในโลกที่ ”มีแต่ความทุกข์ระทมไปชั่วนิรันดร์” (ซึ่งมีความหมายเสียดสีมหานครนิวยอร์กและโลกมนุษย์นั่นเอง) และคนโลกแห่งเทพนิยาย เพื่อร่วมกันนิยามว่าแท้จริงแล้ว ไอ้คำว่าซื่อสัตย์ คำว่ารักนิรันดร์เนี่ย หน้าตามันเป็นอย่างไรและมันจะมีชีวิตอยู่ในโลกของเราได้อย่างไร
Beauty and the Beast
Enchanted
Frozen เป็นภาพยนตร์ล่าสุดของ Disney (เข้าโรงภาพยนตร์ไปแล้วเมื่อ 5 Dec) พูดถึงคำทำนายที่ทำให้อาณาจักรหนึ่งต้องตกอยู่ภายใต้ฤดูหนาวอันเยือกเย็นและโหดร้ายตลอดกาล และแอนนา สาวน้อยช่างฝันที่ต้องการจะล้างอาถรรพ์และช่วยพี่สาวผู้เป็น “ราชินีหิมะ” ของเธอให้ได้ แน่นอนว่าเนื้อเรื่องหลักยังพูดถึงการผจญภัยและอารมณ์ขันตามแบบฉบับ Disney แต่ที่น่าสังเกตคือคลิปมิวสิควีดีโอที่บริษัทปล่อยมาโปรโมทหนังนอกเหนือจาก Trailer ทั่วไป คือวีดีโอเพลงที่สะท้อนเนื้อหาจากฝั่ง “คนที่จะถูกปราบ” หรือราชินีหิมะ พี่สาวของแอนนา (พูดอาจไม่เห็นภาพ ลองทบทวนดูว่าคุณเคยเห็นมิวสิคของ Maleficent หรือแม่มดใจร้ายจากเรื่อง Sleeping beauty มาร้องเพลงโปรโมทหนังหรือเปล่านะ?) ซึ่งสิ่งนี้อาจเป็นการสะท้อนเทรนด์ของ Disney ที่เริ่ม “มองต่างมุม” จากอีกฝั่งมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เป็นการสะท้อนภาพของฝั่งคนที่ตกอยู่ในสภาพผู้ถูกกระทำไปโดยปริยาย (ย้อนกลับไป เราไม่เคยรับรู้ว่าตัวร้ายใน Disney ซึ่งตกเป็นฝ่ายถูกฮีโร่กระทำในเรื่องต่างๆ มีเหตุผลอะไรจริงๆ จังๆ ในการก่อการ ลักพาตัว ทำลายโลก หรือยึดครองประเทศ แม้แต่ครั้งเดียว เรารู้แต่ว่าพวกเขาเป็นคนเลว และต้องถูกกำจัดอย่างเดียว แต่ไม่รู้ว่าทำไม?)
เพราะโลกนี้ไม่มีขาวและดำ มีเพียงเฉดสีเทาที่ทาทับไปทั่วร่างกาย ฉะนั้น เทรนด์ใหม่ของภาพยนตร์ Disney ที่เน้นสะท้อนมุมมองขออีกฝั่งอาจจะนำปรากฏการณ์ใหม่ๆ มาแก่สังคมเราอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้
ฟังเสียงร้องเพราะๆ ของเพลง “Let it go” ฝีมือการร้องของ Idina Menzel ได้ที่นี้
httpv://youtu.be/moSFlvxnbgk