‘MINT’ เผย The White Lotus ดัน Room Price สมุยโต 40% – เตรียมเปิด ‘แดรี่ควีนหน้าเซเว่นฯ’ อีก 10 สาขา

  • 8
  •  
  •  
  •  
  •  

MINT’- Cover

 

บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT รายงานผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2567 ที่โดดเด่นด้วยกำไรสุทธิ 3,632 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 269% จากปีก่อนหน้า ส่งผลให้ทั้งปี 2567 บริษัทมีกำไรสุทธิ 7,750 ล้านบาท เติบโตขึ้น 43% เมื่อเทียบปีต่อปี การเติบโตนี้ได้รับแรงหนุนจากธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารที่ขยายตัวต่อเนื่อง รวมไปถึงโมเดลธุรกิจที่ลดการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร (Asset-light Model) และกลยุทธ์การลดภาระหนี้สินที่ทำให้บริษัทมีความยืดหยุ่นทางการเงินมากขึ้น

 

ธุรกิจโรงแรม – รายได้โตจากอัตราเข้าพักและการขยายตลาด

 

การศึกษาจาก Oxford University คาดการณ์การท่องเที่ยวขาเข้า และการใช้จ่ายในปี 2024-2032

ในด้านนักท่องเที่ยวขาเข้า

  • ตะวันออกกลาง +8.61% ต่อปี
  • เอเชียแปซิฟิก +7.89% ต่อปี
  • ไทย +7.61% ต่อปี
  • ยุโรป +4.51% ต่อปี

ในด้านของการใช้จ่าย

  • ไทย +13.69% ต่อปี
  • ตะวันออกกลาง +8.95% ต่อปี
  • เอเชียแปซิฟิก +8.57% ต่อปี
  • ยุโรป +7.08% ต่อปี

 

จากการศึกษาจะพบว่าในภาพรวมระยะยาว ภูมิภาคใหญ่ รวมถึงไทยหันหัวบวกทั้งฝั่งนักท่องเที่ยวขาเข้า และการใช้จ่าย ด้านธุรกิจโรงแรมของ MINT เองก็ได้รับอานิสงส์จากการท่องเที่ยวโลกที่ฟื้นตัว และกลยุทธ์การกำหนดราคาที่แข็งแกร่ง 

  • ในยุโรปและอเมริกาที่รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPAR) เพิ่มขึ้น 9% จากปีก่อนหน้า 
  • ส่วนในไทย RevPAR พุ่งสูงขึ้นถึง 17% จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการขยายเส้นทางบินและกลยุทธ์การตลาดที่มุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าคุณภาพสูง

 

MINT ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจโรงแรมโดยเปิดใหม่ถึง 30 แห่ง คิดเป็นกว่า 3,000 ห้องพักภายใต้กลยุทธ์ Asset-light Model ที่เน้นการลงทุนต่ำแต่ผลตอบแทนสูง โครงการสำคัญที่เปิดตัวในปีที่ผ่านมา ได้แก่ NH Collection Helsinki Grand Hansa ในฟินแลนด์, Anantara Stanley & Livingstone Victoria Falls ในซิมบับเว และ Anantara Jewel Bagh Jaipur ในอินเดีย ซึ่งช่วยเสริมการเติบโตในตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูง

โดยตลาดที่เป็นเป้าหมายในอนาคต มีทั้งสหรัฐอเมริกา แม็กซิโก คิวบา หมู่เกาะเติกส์ และหมู่เกาะเคคอส โปรตุเกส ซาอุดิอาระเบีย บาห์เรน การ์ตาร์ โอมาน อินเดีย สิงค์โปร์ และญี่ปุ่น

ทั้งนี้ นอกจากสถานที่พักที่เป็นโรงแรมแล้ว ยังมีการเปิดประสบการณ์ใหม่ให้กับลุกค้าด้วยเที่ยวเดินเรือสำราญ และรถไฟสำราญด้วย โดยเรือสำราญจะมีที่ ภูเก็ต กรุงเทพ และหลวงพระบาง ส่วนรถไฟสำราญจะอยู่ที่เวียดนาม

นอกจากนี้ยังมองว่าธุรกิจโรงแรมในเครือมี resilience สูง เพราะอยู่ในกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวที่เป็นแกนหลักสำคัญของรายได้ประเทศ ซึ่งทำให้ทนต่อแรงกดดันทางเศรษฐกิจได้มาก

 

Anantara Guiyang Resort (1)

 

ธุรกิจร้านอาหาร – นวัตกรรมและแฟรนไชส์หนุนยอดขายโต

 

MINT รายงานยอดขายรวมของธุรกิจร้านอาหารเติบโตต่อเนื่อง โดยในประเทศไทยยอดขายรวมเพิ่มขึ้น 8% ส่วนในสิงคโปร์เติบโต 12% ความสำเร็จนี้มาจากการขยายสาขาและกลยุทธ์การพัฒนาแบรนด์ เช่น การเปิดตัวร้าน สเต็ก แอนด์ มอร์ ในไทย และร้าน แบทเทอร์แคช ในสิงคโปร์ ที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าพรีเมียมในราคาที่เข้าถึงได้

โมเดล Asset-light Model ถูกนำมาใช้ขยายธุรกิจร้านอาหารผ่านแฟรนไชส์ เช่น เบนิฮานา ที่เปิดสาขาใหม่ในปารีส, ซิซซ์เล่อร์ ที่ขยายไปญี่ปุ่นและเวียดนาม และ กาก้า ที่เติบโตในตลาดไทย นับเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้ MINT สามารถขยายตลาดได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้แม้กลุ่มร้านอาหารในเครือ Minor Food จะขยายสาขาไปทั่วโลกกว่า 24 ประเทศ และมีแผนเจาะตลาดใหม่เพิ่มเติมอยู่เรื่อยๆ แต่จากรายงานก็พบว่าภาพรวมยอดขายจากธุรกิจอาหารกว่า 60% มาจากประเทศไทย 

 

โดยทางไมเนอร์ ฟู้ด เตรียมเปิดสาขาอีกกว่า 76 แห่งในประเทศไทย ได้แก่
– Dairy Queen 22 สาขา
– GAGA 17 สาขา
– Swensens 17 สาขา
– The Pizza Company 10 สาขา

และยังเตรียมเปิดสาขาในเครืออีกกว่า 28 สาขาในอินโดนีเซีย โดยเฉพาะแดรีควีน และกาก้า ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ส่วนเบนิฮานาก็ได้รับกระแสที่ดีในปารีสเช่นกัน และยังมี Sanook Kitchen ในตลาดอินเดียด้วย

 

สำหรับในปี 2024 ที่ผ่านมา ยอดขายของการรับประทานอาหารในร้านโตขึ้น 7% และเดลิเวอรีโตขึ้น 4%

นอกจากนี้ ทาง Minor Food ยังคงเดินหน้าตีตลาดพรีเมียมเซกเมนต์เป็นหลักอยู่ แม้ว่าเศรษฐกิจจะไม่สู้ดี แต่แทนที่จะหันหัวไปสู่ Mass Segment มากขึ้น กลยุทธ์ของไมเนอร์คือการ ‘เพิ่มทางเลือก’ ให้ลูกค้า เช่น พิซซ่าที่สามารถทานคนเดียวได้ อย่างซีรีส์ Bite ทำให้ลูกค้าไม่จำเป็นต้องซื้อพิซซ่าทั้งถาดเพื่อทานคนเดียว

 

Sizzler (1)

 

ส่ง ‘Dairy Queen’ รุกโซนชุมชน แตกโมเดล ‘หน้าเซเว่น’ ยอดขายดีกว่าในห้าง เตรียมเปิดอีก 10 สาขา

 

จากแบรนด์ร้านอาหารในเครือกว่า 21 แบรนด์ ‘Dairy Queen’ เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ได้รับความนิยมสูงในหลากหลายช่วงอายุ ที่นอกจากจะมีรสชาติ และรูปแบบโปรดักต์ใหม่ๆ ออกมาตีตลาดอยู่เสมอ ‘Store Sizing’ แบบใหม่ๆ ก็สะท้อนการปรับตัว และเอาตัวรอดของแบรนด์เพื่อรับมือกับความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี

โดยในปี 2024 ได้มีการเปิดตัวโมเดล ‘แดรี่ ควีนหน้าร้านเซเว่นฯ’ 5 สาขา ขนาด 40-50 ตร.ม (งบลงทุนราว 2 ล้านบาทต่อสาขา) เจาะโซนปริมณฑล และสามารถทำยอดขายราว 700,000 – 800,000 บาทต่อเดือน โดยมียอดซื้อต่อบิลอยู่ที่ 200 บาท ส่วนสาขาในห้าง ขนาดจะอยู่ที่ประมาณ 25-30 ตร.ม. ซึ่งใช้งบในการสร้างน้อยกว่า แต่ก็ทำรายได้น้อยกว่าเช่นกัน อยู่ที่ 500,000 บาทต่อเดือน และมียอดซื้อต่อบิลอยู่ที่ 120 บาท

ทางไมเนอร์ ฟู้ดเตรียมจะขยายโมเดล ‘แดรี่ ควีนหน้าร้านเซเว่นฯ’ อีกราว 10 สาขา โซนปริมณฑล ตอบโจทย์ความเป็นคอมมิวนีตี้มอลล์ขนาดเล็กสำหรับผู้ที่ไม่สะดวกไปห้างสรรพสินค้าบ่อยๆ

 

dairy queen 7-eleven

 

ฐานะการเงินแข็งแกร่ง ลดหนี้ เพิ่มศักยภาพลงทุน

 

MINT เดินหน้าลดภาระหนี้สินสำเร็จ โดยอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงจาก 1.0 เท่าในปี 2566 เหลือ 0.8 เท่าในปี 2567 และลดภาระหนี้สินลง 10,000 ล้านบาท การปรับโครงสร้างทางการเงินนี้ช่วยลดต้นทุนดอกเบี้ยและเพิ่มความสามารถในการลงทุนขยายธุรกิจในอนาคต

 

ทิศทางปี 2568 – ขยายโรงแรมและร้านอาหาร พร้อมดึงดูดนักท่องเที่ยวใหม่

 

MINT เตรียมเดินหน้าขยายธุรกิจต่อไปในปี 2568 โดยมุ่งเน้นการเติบโตในตลาดศักยภาพสูง เช่น สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และซาอุดีอาระเบีย รวมถึงการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติจากอิทธิพลของซีรีส์ดัง The White Lotus ซีซั่น 3 ที่จะช่วยโปรโมตประเทศไทยในระดับโลก โดยโรงแรมในเครือของ MINT ถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำถึง 4 แห่ง ได้แก่

  • Four Seasons Resorts Koh Samui
  • Anantara Lawana Koh Samui Resort
  • Anantara Mai Khao Phuket Villas
  • Anantara Bophut Koh Samui Resort

นอกจากนี้ อิมแพคจาก The White Lotus ยังทำให้ค่าห้องพักบนเกาะสมุย สูงขึ้นถึง 40% จากความต้องการเข้าพักที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งยังใกล้ถึงช่วง High Season อย่างสงกรานต์แล้วด้วย

นอกจากนี้ ช่วงนี้ประเทศไทยยังอยู่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่มีกำลังซื้อสูงขึ้น จากเดิมที่เป็นเป้าหมายปลายทางของเหล่า Backpacker เสียส่วนใหญ่ ก็ขยับขึ้นมาเป็น Luxury Destination มากขึ้น สืบเนื่องมาจากเทรนด์ Wellness Destination และ Medical Hub ที่ไทยเราก็ได้รับความสนใจในด้านนี้จากต่างชาติไม่น้อยเช่นกัน ทำให้การท่องเที่ยวไทยสามารถใส่ความเป็นพรีเมียมได้มากขึ้น เพิ่มคุณค่า และมูลค่าเม็ดเงินไปตามกัน

ทิศทางของ MINT เอง ก็มองเห็นถึงเทรนด์ Luxury Destination จึงมีการทุ่มงบร่วมกว่าหมื่นล้านบาทเพื่อตกแต่ง รีแบรนด์ให้สถานที่พัก และร้านอาหารในเครือมีความสามารถตอบรับเทรนด์ลักชูรีได้มากขึ้น

 

The White Lotus
Photo Credit: HBO.com

 

สำหรับแผนระยะยาวปี 2567-2570 พร้อมงบลงทุนราว 12,000 ล้านบาท โดยมีเป้าหมาย

 

  • รักษาจุดยืนของแบรนด์ให้อยู่ในความพรีเมียม และสามารถตอบรับเทรนด์ Luxury ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ และในอนาคตได้
  • อัตราการเติบโตของรายได้ต่อปี (CAGR) ที่ 6-8%
  • การเติบโตของกำไรสุทธิที่ 15-20%
  • ขยายโรงแรมเป็น 850 แห่ง และร้านอาหาร 4,000 แห่งภายในปี 2570
  • มองตลาดโรงแรมในญี่ปุ่น สิงคโปร์ และซาอุดิอาระเบีย

 

Minor 1
นายดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม MINT

 

ตอกย้ำเป้าหมายเติบโตยั่งยืน

 

นายดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ MINT ระบุว่า “ผลประกอบการที่เป็นประวัติการณ์ของเราสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของกลยุทธ์ธุรกิจและการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ด้วยฐานะการเงินที่มั่นคง เราพร้อมขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องโดยใช้ประโยชน์จากแนวโน้มการท่องเที่ยวโลก การพัฒนา Asset-light Model และการสร้างนวัตกรรมในธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร เป้าหมายของเราคือการเติบโตอย่างยั่งยืนและการเพิ่มมูลค่าระยะยาว”

MINT ยังคงเป็นผู้นำในธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารระดับโลก ด้วยกลยุทธ์การเติบโตที่แข็งแกร่งและความสามารถในการปรับตัวต่อแนวโน้มอุตสาหกรรม การขยายตัวเชิงกลยุทธ์ในปี 2568 จะเป็นอีกก้าวสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของบริษัทในตลาดโลก


  • 8
  •  
  •  
  •  
  •