บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT รายงานผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2567 ที่โดดเด่นด้วยกำไรสุทธิ 3,632 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 269% จากปีก่อนหน้า ส่งผลให้ทั้งปี 2567 บริษัทมีกำไรสุทธิ 7,750 ล้านบาท เติบโตขึ้น 43% เมื่อเทียบปีต่อปี การเติบโตนี้ได้รับแรงหนุนจากธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารที่ขยายตัวต่อเนื่อง รวมไปถึงโมเดลธุรกิจที่ลดการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร (Asset-light Model) และกลยุทธ์การลดภาระหนี้สินที่ทำให้บริษัทมีความยืดหยุ่นทางการเงินมากขึ้น
ธุรกิจโรงแรม – รายได้โตจากอัตราเข้าพักและการขยายตลาด
การศึกษาจาก Oxford University คาดการณ์การท่องเที่ยวขาเข้า และการใช้จ่ายในปี 2024-2032
ในด้านนักท่องเที่ยวขาเข้า
- ตะวันออกกลาง +8.61% ต่อปี
- เอเชียแปซิฟิก +7.89% ต่อปี
- ไทย +7.61% ต่อปี
- ยุโรป +4.51% ต่อปี
ในด้านของการใช้จ่าย
- ไทย +13.69% ต่อปี
- ตะวันออกกลาง +8.95% ต่อปี
- เอเชียแปซิฟิก +8.57% ต่อปี
- ยุโรป +7.08% ต่อปี
จากการศึกษาจะพบว่าในภาพรวมระยะยาว ภูมิภาคใหญ่ รวมถึงไทยหันหัวบวกทั้งฝั่งนักท่องเที่ยวขาเข้า และการใช้จ่าย ด้านธุรกิจโรงแรมของ MINT เองก็ได้รับอานิสงส์จากการท่องเที่ยวโลกที่ฟื้นตัว และกลยุทธ์การกำหนดราคาที่แข็งแกร่ง
- ในยุโรปและอเมริกาที่รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPAR) เพิ่มขึ้น 9% จากปีก่อนหน้า
- ส่วนในไทย RevPAR พุ่งสูงขึ้นถึง 17% จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการขยายเส้นทางบินและกลยุทธ์การตลาดที่มุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าคุณภาพสูง
MINT ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจโรงแรมโดยเปิดใหม่ถึง 30 แห่ง คิดเป็นกว่า 3,000 ห้องพักภายใต้กลยุทธ์ Asset-light Model ที่เน้นการลงทุนต่ำแต่ผลตอบแทนสูง โครงการสำคัญที่เปิดตัวในปีที่ผ่านมา ได้แก่ NH Collection Helsinki Grand Hansa ในฟินแลนด์, Anantara Stanley & Livingstone Victoria Falls ในซิมบับเว และ Anantara Jewel Bagh Jaipur ในอินเดีย ซึ่งช่วยเสริมการเติบโตในตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูง
โดยตลาดที่เป็นเป้าหมายในอนาคต มีทั้งสหรัฐอเมริกา แม็กซิโก คิวบา หมู่เกาะเติกส์ และหมู่เกาะเคคอส โปรตุเกส ซาอุดิอาระเบีย บาห์เรน การ์ตาร์ โอมาน อินเดีย สิงค์โปร์ และญี่ปุ่น
ทั้งนี้ นอกจากสถานที่พักที่เป็นโรงแรมแล้ว ยังมีการเปิดประสบการณ์ใหม่ให้กับลุกค้าด้วยเที่ยวเดินเรือสำราญ และรถไฟสำราญด้วย โดยเรือสำราญจะมีที่ ภูเก็ต กรุงเทพ และหลวงพระบาง ส่วนรถไฟสำราญจะอยู่ที่เวียดนาม
นอกจากนี้ยังมองว่าธุรกิจโรงแรมในเครือมี resilience สูง เพราะอยู่ในกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวที่เป็นแกนหลักสำคัญของรายได้ประเทศ ซึ่งทำให้ทนต่อแรงกดดันทางเศรษฐกิจได้มาก
ธุรกิจร้านอาหาร – นวัตกรรมและแฟรนไชส์หนุนยอดขายโต
MINT รายงานยอดขายรวมของธุรกิจร้านอาหารเติบโตต่อเนื่อง โดยในประเทศไทยยอดขายรวมเพิ่มขึ้น 8% ส่วนในสิงคโปร์เติบโต 12% ความสำเร็จนี้มาจากการขยายสาขาและกลยุทธ์การพัฒนาแบรนด์ เช่น การเปิดตัวร้าน สเต็ก แอนด์ มอร์ ในไทย และร้าน แบทเทอร์แคช ในสิงคโปร์ ที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าพรีเมียมในราคาที่เข้าถึงได้
โมเดล Asset-light Model ถูกนำมาใช้ขยายธุรกิจร้านอาหารผ่านแฟรนไชส์ เช่น เบนิฮานา ที่เปิดสาขาใหม่ในปารีส, ซิซซ์เล่อร์ ที่ขยายไปญี่ปุ่นและเวียดนาม และ กาก้า ที่เติบโตในตลาดไทย นับเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้ MINT สามารถขยายตลาดได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้แม้กลุ่มร้านอาหารในเครือ Minor Food จะขยายสาขาไปทั่วโลกกว่า 24 ประเทศ และมีแผนเจาะตลาดใหม่เพิ่มเติมอยู่เรื่อยๆ แต่จากรายงานก็พบว่าภาพรวมยอดขายจากธุรกิจอาหารกว่า 60% มาจากประเทศไทย
โดยทางไมเนอร์ ฟู้ด เตรียมเปิดสาขาอีกกว่า 76 แห่งในประเทศไทย ได้แก่
– Dairy Queen 22 สาขา
– GAGA 17 สาขา
– Swensens 17 สาขา
– The Pizza Company 10 สาขา
และยังเตรียมเปิดสาขาในเครืออีกกว่า 28 สาขาในอินโดนีเซีย โดยเฉพาะแดรีควีน และกาก้า ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ส่วนเบนิฮานาก็ได้รับกระแสที่ดีในปารีสเช่นกัน และยังมี Sanook Kitchen ในตลาดอินเดียด้วย
สำหรับในปี 2024 ที่ผ่านมา ยอดขายของการรับประทานอาหารในร้านโตขึ้น 7% และเดลิเวอรีโตขึ้น 4%
นอกจากนี้ ทาง Minor Food ยังคงเดินหน้าตีตลาดพรีเมียมเซกเมนต์เป็นหลักอยู่ แม้ว่าเศรษฐกิจจะไม่สู้ดี แต่แทนที่จะหันหัวไปสู่ Mass Segment มากขึ้น กลยุทธ์ของไมเนอร์คือการ ‘เพิ่มทางเลือก’ ให้ลูกค้า เช่น พิซซ่าที่สามารถทานคนเดียวได้ อย่างซีรีส์ Bite ทำให้ลูกค้าไม่จำเป็นต้องซื้อพิซซ่าทั้งถาดเพื่อทานคนเดียว
ส่ง ‘Dairy Queen’ รุกโซนชุมชน แตกโมเดล ‘หน้าเซเว่น’ ยอดขายดีกว่าในห้าง เตรียมเปิดอีก 10 สาขา
จากแบรนด์ร้านอาหารในเครือกว่า 21 แบรนด์ ‘Dairy Queen’ เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ได้รับความนิยมสูงในหลากหลายช่วงอายุ ที่นอกจากจะมีรสชาติ และรูปแบบโปรดักต์ใหม่ๆ ออกมาตีตลาดอยู่เสมอ ‘Store Sizing’ แบบใหม่ๆ ก็สะท้อนการปรับตัว และเอาตัวรอดของแบรนด์เพื่อรับมือกับความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี
โดยในปี 2024 ได้มีการเปิดตัวโมเดล ‘แดรี่ ควีนหน้าร้านเซเว่นฯ’ 5 สาขา ขนาด 40-50 ตร.ม (งบลงทุนราว 2 ล้านบาทต่อสาขา) เจาะโซนปริมณฑล และสามารถทำยอดขายราว 700,000 – 800,000 บาทต่อเดือน โดยมียอดซื้อต่อบิลอยู่ที่ 200 บาท ส่วนสาขาในห้าง ขนาดจะอยู่ที่ประมาณ 25-30 ตร.ม. ซึ่งใช้งบในการสร้างน้อยกว่า แต่ก็ทำรายได้น้อยกว่าเช่นกัน อยู่ที่ 500,000 บาทต่อเดือน และมียอดซื้อต่อบิลอยู่ที่ 120 บาท
ทางไมเนอร์ ฟู้ดเตรียมจะขยายโมเดล ‘แดรี่ ควีนหน้าร้านเซเว่นฯ’ อีกราว 10 สาขา โซนปริมณฑล ตอบโจทย์ความเป็นคอมมิวนีตี้มอลล์ขนาดเล็กสำหรับผู้ที่ไม่สะดวกไปห้างสรรพสินค้าบ่อยๆ
ฐานะการเงินแข็งแกร่ง ลดหนี้ เพิ่มศักยภาพลงทุน
MINT เดินหน้าลดภาระหนี้สินสำเร็จ โดยอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงจาก 1.0 เท่าในปี 2566 เหลือ 0.8 เท่าในปี 2567 และลดภาระหนี้สินลง 10,000 ล้านบาท การปรับโครงสร้างทางการเงินนี้ช่วยลดต้นทุนดอกเบี้ยและเพิ่มความสามารถในการลงทุนขยายธุรกิจในอนาคต
ทิศทางปี 2568 – ขยายโรงแรมและร้านอาหาร พร้อมดึงดูดนักท่องเที่ยวใหม่
MINT เตรียมเดินหน้าขยายธุรกิจต่อไปในปี 2568 โดยมุ่งเน้นการเติบโตในตลาดศักยภาพสูง เช่น สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และซาอุดีอาระเบีย รวมถึงการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติจากอิทธิพลของซีรีส์ดัง The White Lotus ซีซั่น 3 ที่จะช่วยโปรโมตประเทศไทยในระดับโลก โดยโรงแรมในเครือของ MINT ถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำถึง 4 แห่ง ได้แก่
- Four Seasons Resorts Koh Samui
- Anantara Lawana Koh Samui Resort
- Anantara Mai Khao Phuket Villas
- Anantara Bophut Koh Samui Resort
นอกจากนี้ อิมแพคจาก The White Lotus ยังทำให้ค่าห้องพักบนเกาะสมุย สูงขึ้นถึง 40% จากความต้องการเข้าพักที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งยังใกล้ถึงช่วง High Season อย่างสงกรานต์แล้วด้วย
นอกจากนี้ ช่วงนี้ประเทศไทยยังอยู่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่มีกำลังซื้อสูงขึ้น จากเดิมที่เป็นเป้าหมายปลายทางของเหล่า Backpacker เสียส่วนใหญ่ ก็ขยับขึ้นมาเป็น Luxury Destination มากขึ้น สืบเนื่องมาจากเทรนด์ Wellness Destination และ Medical Hub ที่ไทยเราก็ได้รับความสนใจในด้านนี้จากต่างชาติไม่น้อยเช่นกัน ทำให้การท่องเที่ยวไทยสามารถใส่ความเป็นพรีเมียมได้มากขึ้น เพิ่มคุณค่า และมูลค่าเม็ดเงินไปตามกัน
ทิศทางของ MINT เอง ก็มองเห็นถึงเทรนด์ Luxury Destination จึงมีการทุ่มงบร่วมกว่าหมื่นล้านบาทเพื่อตกแต่ง รีแบรนด์ให้สถานที่พัก และร้านอาหารในเครือมีความสามารถตอบรับเทรนด์ลักชูรีได้มากขึ้น

สำหรับแผนระยะยาวปี 2567-2570 พร้อมงบลงทุนราว 12,000 ล้านบาท โดยมีเป้าหมาย
- รักษาจุดยืนของแบรนด์ให้อยู่ในความพรีเมียม และสามารถตอบรับเทรนด์ Luxury ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ และในอนาคตได้
- อัตราการเติบโตของรายได้ต่อปี (CAGR) ที่ 6-8%
- การเติบโตของกำไรสุทธิที่ 15-20%
- ขยายโรงแรมเป็น 850 แห่ง และร้านอาหาร 4,000 แห่งภายในปี 2570
- มองตลาดโรงแรมในญี่ปุ่น สิงคโปร์ และซาอุดิอาระเบีย

ตอกย้ำเป้าหมายเติบโตยั่งยืน
นายดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ MINT ระบุว่า “ผลประกอบการที่เป็นประวัติการณ์ของเราสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของกลยุทธ์ธุรกิจและการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ด้วยฐานะการเงินที่มั่นคง เราพร้อมขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องโดยใช้ประโยชน์จากแนวโน้มการท่องเที่ยวโลก การพัฒนา Asset-light Model และการสร้างนวัตกรรมในธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร เป้าหมายของเราคือการเติบโตอย่างยั่งยืนและการเพิ่มมูลค่าระยะยาว”
MINT ยังคงเป็นผู้นำในธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารระดับโลก ด้วยกลยุทธ์การเติบโตที่แข็งแกร่งและความสามารถในการปรับตัวต่อแนวโน้มอุตสาหกรรม การขยายตัวเชิงกลยุทธ์ในปี 2568 จะเป็นอีกก้าวสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของบริษัทในตลาดโลก