แน่นอนว่า บริษัทที่มีชื่อเสียง องค์กรที่ทำธุรกิจใหญ่โต ล้วนเป็นเป้าหมายที่มนุษย์งานใฝ่ฝันเข้าเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร เพราะหลาย ๆ บริษัทขึ้นชื่อว่ามีสวัสดิการดีดึงดูดใจ แถมด้วยออฟฟิศสุดชิคพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกชวนให้ทำงานแฮปปี้สุด ๆ รวมถึงเรื่อง รายได้
แม้ว่าเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ จะถือเป็นความลับของบริษัท แต่การเป็น Big Tech Big Company ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าเป็นนี่คือสิ่งที่ทุกคนอยากรู้ หรือว่าคุณไม่อยาก! โดยเฉพาะท่ามกลางวิกฤต COVID-19 ที่มีผู้คนต้องตกงานเป็นจำนวนมาก ผู้ประกอบการต้องปิดตัวลงมากมาย แล้วเหล่า Big Tech ล่ะ สถานการณ์ตำแหน่งงาน และรายได้ของพนักงานในองค์กรเหล่านี้ ได้รับผลกระทบมั้ย หรือมีแต่เพิ่มขึ้น เพราะทั่วโลกต้องหันมาพึ่งพาเทคโนโลยี
ต้องยอมรับว่าโรคระบาด ทำให้ผู้คนต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ทุกอย่างต้องอาศัยเทคโนโลยี โดยข้อมูลจาก CompTIA องค์กรด้านอุตสาหกรมเทคโนโลยี เมื่อช่วงต้นเดือน ก.ค. ระบุว่า การจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมเติบโตอย่างชัดเจน โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีในสหรัฐอเมริกาซึ่งมีการจ้างงานเพิ่มกว่า 80,000 คน ในช่วงครึ่งแรกของปี 2021 ยกตัวอย่าง Alphabet บริษัทแม่ของ Google ที่จ้างพนักงานเพิ่มถึง 4,000 คน ภายในไตรมาส 2 เพียงช่วงเดียว และในเดือน มิ.ย. ก็ยังจัดหาพนักงานชั่วคราวอีกกว่า 300,000 ตำแหน่ง ทั้งนักพัฒนาแอปและซอฟต์แวร์ ฝ่ายสนับสนุนไอที วิศวกรระบบและสถาปนิก เป็นต้น ทั้งยังมีการจ้างงานแบบโครงการวีซ่า H1-B ที่อนุญาตให้บางอาชีพสามารถเดินทางเข้ามายังสหรัฐอเมริกาเพื่อทำงานในช่วงเวลาหนึ่งได้ด้วย โดย 1 ใน 4 ของตำแหน่งงานที่เปิดรับ คือ สายงานด้าน AI
ถ้าคุณสนใจเรื่องนี้… Business Insider เพิ่งเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผลตอบแทนในสายงานวิศวกร นักพัฒนา และผู้จัดการผลิตภัณฑ์ ของบริษัทชั้นนำทางเทคโนโลยีในสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น Amazon, Google, Apple, Microsoft, Intel, Uber, IBM และ Salesforce ลองมาดูกันว่า ตกลงแล้วค่าเหนื่อยของพนักงานกลุ่ม Big Tech จะเป็นอย่างไรบ้าง ในสถานการณ์ที่บริษัทมีการจ้างงานมากขึ้นขนาดนี้…
นอกจากได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นหนึ่งในออฟฟิศน่าทำงานที่สุดแล้ว Google ยังจ่ายค่าตอบแทนอย่างงาม โดยมีการเปิดเผยว่า วิศวกรซอฟต์แวร์ อาจได้รับค่าตอบแทนถึง 353,000 เหรียญสหรัฐ ส่วน รองประธานฝ่ายวิศวกรรม ได้รับค่าตอบแทนประมาณ 475,000 เหรียญสหรัฐ ขณะที่ รองประธานอาวุโส อาจมีค่าตอบแทนอยู่ที่ 650,000 ดอลลาร์ต่อปีเลยทีเดียว
Amazon
สายงานด้านเทคนิคอย่าง Amazon ก็มีข้อมูลว่าจ่ายผลตอบแทนให้พนักงานเป็นเงินไม่น้อย โดยตำแหน่งสถาปนิกด้านโซลูชันระบบคลาวด์ อาจได้ผลตอบแทนราว 90,800 – 185,000 เหรียญสหรัฐทีเดียว ขึ้นอยู่กับโลเคชันและทักษะของแต่ละคน และยังพบว่า Amazon มีการจ้างพนักงานผ่านโครงการวีซ่า H1-B อยู่ไม่น้อย ในระหว่างเดือน ม.ค. – มิ.ย. โดยเฉพาะตำแหน่งนักพัฒนาซอฟต์แวร์ นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล นักการตลาด นักวิเคราะห์ธุรกิจ เป็นต้น ซึ่งได้รับผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 185,000 เหรียญสหรัฐ
Apple
ไม่ใช่แค่สายเทคนิคแต่สายการตลาดก็เป็นอาวุธสำคัญของแบรนด์เช่นเดียวกัน ดังนั้น Apple จึงยอมจ่ายผลตอบแทนถึง 325,000 เหรียญสหรัฐ ให้แก่พนักงานการตลาดอาวุโส และ 240,000 เหรียญสหรัฐสำหรับผู้จัดการฝ่ายการตลาด เพราะ Apple ให้ความสำคัญอย่างมากในการทำตลาดและโฆษณา เพื่อสื่อสารกับผู้บริโภคและสื่อถึงความสำเร็จของแบรนด์นั่นเอง
Microsoft
ตำแหน่งงานที่ได้รับค่าตอบแทนสูงสุดของ Microsoft คือ วิศวกรซอฟต์แวร์ ผู้จัดการฝ่ายขาย และนักวิจัย ซึ่งพบว่ามีการจ่ายค่าตอบแทนให้พนักงานในตำแหน่งดังกล่าวด้วยเรทระดับสูงที่ 175,000 เหรียญสหรัฐขึ้นไป และมีการระบุรายได้สูงสุดในประกาศรับสมัครงาน ผู้จัดการฝ่ายขาย อยู่ที่ 250,000 เหรียญสหรัฐทีเดียว แต่แม้ว่าตัวเลขเหล่านี้จะทำให้พวกเราตื่นตาตื่นใจเพียงใด แต่จากการสำรวจข้อมูลพนักงาน Microsoft เมื่อปี 2020 กลับพบว่ามีพนักงานเพียง 55% ที่บอกว่าเงินรายได้และโบนัสของพวกเขาสามารถแข่งขันกับสายงานเดียวกันในบริษัทอื่นได้ จากที่เคยมีสัดส่วน 65% เมื่อปี 2017
Uber
หากเปรียบเทียบทั้งการแข่งขันและพิจารณาจากการจ่ายผลตอบแทน Uber ยังคงมีศักยภาพไม่แพ้บริษัทอื่นในซิลิคอนวัลเลย์ เพราะผลตอบแทนที่ วิศวกรอาวุโส จะได้รับนั้นอาจสูงถึง 200,000 เหรียญสหรัฐ ส่วน นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล ก็อยู่ที่ 150,000 เหรียญสหรัฐ ขณะที่ รายได้ของ ผู้จัดการผลิตภัณฑ์อาวุโส ก็ไม่ต่ำกว่า 190,000 เหรียญสหรัฐ ซึ่งทั้งหมดนี้ยังไม่รวมเงินพิเศษอื่น ๆ หรือโบนัสอีกด้วย
Intel
ท่ามกลางการแข่งขันทางธุรกิจและปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนสำคัญอย่างเซมิคอนดักเตอร์ Intel ก็ยังคงเต็มใจจ่ายผลตอบแทนมหาศาลแก่พนักงาน โดยเฉพาะ ผู้จัดการฝ่ายวิศวกรรม ซึ่งมีรายได้ถึง 300,000 เหรียญสหรัฐ และยังมีตำแหน่งอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น นักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ นักการตลาด รวมถึง วิศวกรซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของ Intel
IBM
แม้จะมีชื่อเสียงยาวนานในสายเทคโนโลยี แต่ IBM ก็ไม่เคยหยุดพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี โดยล่าสุดยังได้จ้างงานเพิ่มกว่า 350,000 คน ในตำแหน่งต่าง ๆ เข้ามาเติมเต็มสายงานวิศวกรรมระบบคลาวด์ ไฮบริดคลาวด์ และ AI ซึ่งตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ IBM ได้จ้างพนักงานในตำแหน่งวิศวกร นักวิเคราะห์ธุรกิจและที่ปรึกษา และตำแหน่งงานอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งตัวเลขค่าตอบแทนสูงสุดอยู่ที่ 335,000 เหรียญสหรัฐ เลยทีเดียว
Salesforce
ธุรกิจด้านแพลตฟอร์ม CRM อย่าง Salesforce ก็เป็นอีกองค์กรที่มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นนับหมื่นตำแหน่ง และยังมีแผนจ้างไม่ต่ำกว่า 12,000 ตำแหน่งในปี 2022 พร้อมกับเปิดกว้างให้พนักงานเลือกว่าจะทำงานจากระยะไกล หรือทำงานนอกสถานที่ ได้แบบถาวร และไม่ใช่แค่การทำงานที่ยืดหยุ่นเพราะค่าตอบแทนที่มอบให้พนักงานนั้น ก็สูงตามไปด้วย โดยเฉพาะตำแหน่งผู้จัดการอาวุโส ด้านวิศวกรรมซอฟต์แวร์ ซึ่งได้รับค่าเหนื่อยที่ 215,000 เหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ ยังพบว่าในระหว่าง ม.ค. – มี.ค. Salesforce มีการจ่ายค่าตอบแทนให้กับพนักงานในสายงานต่าง ๆ ทั้งด้านวิศวกรรม วิเคราะห์ข้อมูล และการจัดการผลิตภัณฑ์ อีกเป็นจำนวนมาก
Snap
อาจเป็นแอปที่ไม่ฮอตฮิตในประเทศไทยสำหรับ Snapchat แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ Snap หยุดพัฒนา เพราะในต่างประเทศนั้น Snapchat ถือว่าเป็นหนึ่งในแอปที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยฐานเงินเดือนประจำปีในช่วงปลายปี 2020 – 2021 นั้น อยู่ที่ 59,000 – 500,000 เหรียญสหรัฐทีเดียว แตกต่างกันไปตามตำแหน่งงาน ซึ่งปัจจุบัน บริษัทมีพนักงานราว 4,000 คน ใน 15 ประเทศ โดยมีการเสนอทุนสนับสนุนขั้นต่ำแก่พนักงานใหม่ 15,000 เหรียญสหรัฐต่อคน และอัตราค่าจ้างพื้นฐานรายปี สำหรับพนักงานประจำ ณ สำนักงานใหญ่ในซานตาโมนิกา สหรัฐอเมริกา คนละ 70,000 เหรียญสหรัฐด้วย
Waymo
อาจเป็นชื่อที่หลายคนไม่คุ้นหู แต่สำหรับ Waymo ผู้พัฒนารถยนต์ไร้คนขับซึ่งอยู่ในเครือ Alphabet ก็เป็นอีกบริษัทสายเทคโนโลยีที่เติบโต ลงทุน และจ่ายค่าตอบแทนระดับสูงแก่พนักงานเช่นกัน โดยเฉพาะตำแหน่ง วิศวกรด้าน AI ที่มีมากถึง 60,000 ตำแหน่ง แถมยังมีค่าตอบแทนถึง 304,500 เหรียญสหรัฐ หรือแม้แต่ส่วนงานที่เกี่ยวข้องกับ AI ซอฟต์แวร์ควบคุมยานพาหนะ ก็พบว่ามีการจ่ายค่าตอบแทนสูงถึง 122,000 – 300,000 เหรียญสหรัฐ เช่นกัน
ที่มา: Business Insider
