เจาะกลยุทธ์ LG รุกตลาดทีวีพรีเมียมท้ายปี ส่งไลน์อัพทีวีพร้อมขุมพลัง AI ลุย ตั้งเป้าครองอันดับ 1 ตลาด OLED 13 ปีซ้อน

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

การแข่งขันในตลาดทีวีพรีเมียมยังคงดุเดือดมาโดยตลอด โดยเฉพาะในช่วงที่พฤติกรรมผู้บริโภคหันไปให้ความสำคัญกับประสบการณ์การรับชมคอนเทนต์คุณภาพและเทคโนโลยีที่ฉลาดตอบสนองความต้องการมากขึ้น ล่าสุด LG ผู้เล่นรายใหญ่ที่ครองตำแหน่งผู้นำในตลาดทีวีออกมาเปิดเผยถึงกลยุทธ์สำหรับช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2568 ซึ่งถือเป็นการเดินเกมต่อเนื่องจากการเปิดตัวไลน์อัพ LG AI TV เมื่อไม่กี่เดือนก่อน การเคลื่อนไหวครั้งนี้นับเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า LG พร้อมที่จะยึดครองอันดับ 1 ต่อไป และยังตั้งเป้าส่วนแบ่งตลาดทีวีในระดับบนให้เพิ่มขึ้นอีกด้วย

ยืนหนึ่งตลาด OLED TV ครองแชมป์ 12 ปีซ้อน

ท่ามกลางภาพรวมตลาดทีวีในไทยที่มีมูลค่ากว่า 20,700 ล้านบาท และคาดว่าจะกลับมาเติบโต 2% ในปี 2568 LG ได้ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญ ด้วยการครองส่วนแบ่งการตลาดทีวี OLED ทะยานสู่ 64.2% เพิ่มขึ้นจาก 62.2% ในปีก่อนหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ตัวเลขนี้นอกจากจะสะท้อนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคแล้ว ยังเป็นการสานต่อตำแหน่งเจ้าตลาดทีวีพรีเมียมอันดับ 1 อย่างต่อเนื่องยาวนานถึง 12 ปีซ้อน โดยเฉพาะในตลาดทีวี OLED ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งสวนกระแสสภาพเศรษฐกิจ โดยคาดว่าปีนี้จะมีมูลค่าสูงถึง 1,300 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อนหน้า 13%

คุณอำนาจ สิงหจันทร์ หัวหน้าฝ่ายการตลาด บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ความสำเร็จในครั้งนี้เกิดจากความมุ่งมั่นในการวิเคราะห์ความต้องการของผู้บริโภค เพื่อให้สามารถพัฒนาสินค้าที่นอกจากจะมีคุณภาพที่เหนือกว่าแล้ว ยังต้องช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับคุณค่ามากกว่าที่ซื้อ เช่น LG AI TV ที่เป็นได้ทั้งทีวีและผู้ช่วยส่วนตัว”

รุกตลาดทีวี “จอใหญ่” มาตรฐานใหม่ของทีวียุคนี้

คุณอำนาจ สิงหจันทร์ หัวหน้าฝ่ายการตลาด บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด

ข้อมูลที่น่าสนใจที่ LG เล่าให้ฟังคือพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน จากเดิมที่ทีวีขนาด 55 นิ้วเคยเป็นไซส์ยอดนิยม ตอนนี้เทรนด์ได้เปลี่ยนไปสู่ขนาด 65 นิ้ว ซึ่งกลายเป็นขนาดที่ขายดีที่สุดในกลุ่ม OLED TV โดยมีสัดส่วนสูงถึง 36.8% และที่น่าจับตามองคือกลุ่มผู้ใช้งานเดิมที่เคยใช้ทีวี OLED อยู่แล้ว เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนเครื่องใหม่ ก็มีแนวโน้มที่จะขยายขนาดจอให้ใหญ่ขึ้นไปอีก

เพื่อตอบรับกระแสความต้องการนี้ LG จึงเดินหน้ากลยุทธ์ “จอใหญ่” อย่างเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการส่ง “LG QNED ขนาด 100 นิ้ว” ลงสู่ตลาดในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้นมาก ซึ่งได้รับการตอบรับดีเกินคาด สร้างยอดขายเฉลี่ยเดือนละ 50 เครื่อง และมีแผนจะขยายจุดจัดแสดงสินค้าจาก 30 สาขาเป็น 80 สาขาทั่วประเทศ เพื่อให้ผู้บริโภคได้สัมผัสประสบการณ์ของจอทีวีขนาดยักษ์นี้ด้วยตัวเอง

นอกจากนี้ LG ยังมีแผน “เพิ่มไลน์อัพทีวีจอใหญ่” ให้มากขึ้น​ โดยจะเพิ่มจำนวนทีวีขนาด 75 นิ้วขึ้นไป จากเดิม 14 รุ่นในปี 2567 เป็น 21 รุ่นในปี 2568 เพื่อให้มีตัวเลือกครอบคลุมทุกความต้องการและทุกเซกเมนต์ ตั้งแต่ระดับเริ่มต้นไปจนถึงระดับไฮเอนด์

มัดใจลูกค้าด้วยไลน์อัพทีวีที่หลากหลาย

นอกจากการตอบสนองเทรนด์จอใหญ่แล้ว LG ยังคงมุ่งไปที่การนำเสนอนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ผ่านการ “ขยายไลน์อัพทีวีพรีเมียมให้ลึกขึ้น” โดยจะวางขายทีวี OLED ที่มีคาแรกเตอร์แตกต่างกันเพื่อตอบโจทย์ทุกกลุ่มไม่ว่าจะเป็น

  • LG OLED evo AI M5: นวัตกรรมทีวี OLED ไร้สาย ที่มาพร้อม Zero Connect Box เหมาะสำหรับคนรักการแต่งบ้านสไตล์มินิมอลที่ต้องการความเรียบหรูไร้ที่ติ ถึงขั้นที่โครงการบ้านจัดสรรระดับไฮเอนด์เลือกใช้เป็นจุดขายในบ้านตัวอย่าง
  • LG OLED evo AI G5: ที่สุดของภาพและเสียงในดีไซน์แบบ Gallery Design ที่แขวนแล้วแนบสนิทไปกับผนังเหมือนงานศิลปะ มาพร้อมรีเฟรชเรทสูงถึง 165 Hz เอาใจคอเกมให้เล่นเกมได้แบบลื่นไหลเนียนตา
  • LG OLED evo AI C5: รุ่นยอดนิยมที่ครบเครื่องทุกด้าน เป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบทั้งสำหรับคอหนังและเกมเมอร์
  • LG OLED AI B5: รุ่นเริ่มต้นที่มาจากคำว่า “Basic” สำหรับผู้ที่อยากเปิดประสบการณ์การรับชมภาพระดับพรีเมียมของ OLED TV รุ่นนี้เป็นการเจาะตลาดสำหรับผู้ที่จะเริ่มต้นเข้าสู่วงการ OLED
  • เพิ่มขีดความสามารถของ TV AI ให้ฉลาดล้ำ: ชูจุดเด่นของ The Power of Hyper-Personalized AI ที่ไม่ใช่แค่ Smart TV ทั่วไป แต่เป็นทีวีที่ “รู้จัก” และ “รู้ใจ” ผู้ใช้งานแต่ละคน

อัพเกรดขุมพลัง AI ที่รู้ใจคน

LG ไม่ได้หยุดแค่การพัฒนาฮาร์ดแวร์ แต่ยังทุ่มเทให้กับซอฟต์แวร์ โดยเฉพาะขุมพลัง AI ที่เป็นหัวใจสำคัญของทีวีรุ่นใหม่ๆ ซึ่งถูกออกแบบมาให้เป็นมากกว่าแค่ Smart TV ทั่วไป แต่เป็นทีวีที่ ‘รู้จัก’ และ ‘รู้ใจ’ ผู้ใช้งานแต่ละคนจริงๆ โดยมีตัวอย่างฟีเจอร์เด็ดๆ ใส่มาให้ในทีวีทุกรุ่นแล้ว เช่น

  • Recognize YOU: ทีวีสามารถจดจำเสียงของผู้ใช้งานแต่ละคนได้ผ่าน Voice ID เช่น เมื่อคุณพ่อพูดว่า “หาหนังแอ็คชั่น” ทีวีก็จะแสดงผลลัพธ์จากประวัติการชมของคุณพ่อ แต่เมื่อคุณลูกพูดว่า “เปิดการ์ตูน” ทีวีก็จะดึงคอนเทนต์จากโปรไฟล์ของคุณลูกขึ้นมาให้ทันที
  • Customize to YOU: ไม่ได้เรียนรู้แค่คอนเทนต์เท่านั้น แต่ AI ยังเรียนรู้และปรับตั้งค่าภาพและเสียงให้เหมาะกับรสนิยมของแต่ละคนโดยอัตโนมัติ
  • Care Around YOU: ทีวีกลายเป็นศูนย์กลางของบ้านอัจฉริยะอย่างแท้จริง คุณสามารถสั่งงานเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ในบ้านที่เป็น IoT ผ่านแอป LG ThinQ บนจอทีวีได้เลย เช่น สั่งให้หุ่นยนต์ดูดฝุ่นเริ่มทำงาน หรือเช็คว่าเครื่องซักผ้าทำงานเสร็จหรือยัง นอกจากนี้ยังสามารถสร้าง Scene ให้เครื่องใช้ไฟฟ้าหลายอย่างทำงานพร้อมกันได้ตามต้องการ
  • ฟีเจอร์เด็ดมัดใจคอกีฬา: LG เอาใจคอกีฬาด้วยฟีเจอร์ใหม่อย่าง Sports Alert โดยเราสามารถตั้งค่าทีมโปรดในพรีเมียร์ลีกเอาไว้ แล้วทีวีจะแจ้งเตือนคุณทุกครั้งที่การแข่งขันจะเริ่ม หรือสามารถเด้ง Pop-Up รายงานผลทันทีเมื่อมีการทำประตู หรือแจ้งผลการแข่งขันทันทีที่จบเกม ไม่ว่าคุณกำลังดูคอนเทนต์อะไรอยู่ก็ตาม

เป้าหมายปี 2568 เดินหน้าสู่การเป็นแชมป์ 13 ปีซ้อน

สำหรับโค้งสุดท้ายของปีและเป้าหมายในปี 2568 LG ตั้งเป้าไว้อย่างชัดเจนและท้าทาย ด้วยงบการตลาดกว่า 100 ล้านบาท เพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำ ด้วยส่วนแบ่งการตลาดทีวี LG OLED ที่ 65% และครองอันดับ 1 ในประเทศไทยติดต่อกันเป็น ปีที่ 13

นอกจากนี้ อีกเป้าหมายหนึ่งคือการผลักดันยอดขายทีวีขนาดใหญ่ 75 นิ้วขึ้นไป ให้โตขึ้น 20% และสร้างการเติบโตให้ยอดขายทีวีโดยรวม โตขึ้น 10% โดยหากมองภาพรวมตลาดทีวีทั้งหมดในเวลานี้ LG ครองส่วนแบ่งตลาดอยู่ในอันดับ 2 ที่เกือบ 20% ตามหลังอันดับหนึ่งที่ครองส่วนแบ่งอยู่ราว 30%

การเคลื่อนทัพของ LG ในครั้งนี้ คือการตอกย้ำว่าการจะเป็นผู้นำตลาดได้อย่างยาวนานนั้น ไม่ได้อาศัยเพียงแค่คุณภาพของผลิตภัณฑ์ แต่ต้องเกิดจากการเข้าใจความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภค การปรับตัวให้ทันต่อเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลง และการไม่หยุดที่จะพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งาน จากนี้ก็คงต้องรอดูต่อไปว่า LG จะสามารถสร้างยอดขายทีวีระดับพรีเมียมให้มากขึ้นและเพิ่มส่วนแบ่งตลาดทีวีโดยรวมให้มากขึ้นได้หรือไม่ ต้องติดตาม


  •  
  •  
  •  
  •  
  •