ถ้าพูดถึงแบรนด์โรงแรมของคนไทยที่ยืนหนึ่งในฐานะ “ตำนาน” ชื่อของ “ดุสิตธานี” คงเป็นชื่อแรกๆ ที่ทุกคนนึกถึง ด้วยประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 76 ปี เป็นสัญลักษณ์ของการท่องเที่ยวของไทยในฐานะโรงแรมไทยระดับตำนาน และเป็นหนึ่งใน Soft Power สำคัญที่สร้างชื่อเสียงให้ประเทศมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานี้ ที่เมกะโปรเจกต์อย่าง “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” กำลังทยอยเปิดตัวอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งถือเป็นการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่และเป็นบทบาทใหม่ของแบรนด์ในสายตาคนไทยและนักท่องเที่ยวทั่วโลก
แต่ตอนนี้ ตำนานบทนี้กำลังเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เมื่อปัญหาภายในครอบครัวผู้ก่อตั้ง ได้บานปลายกลายเป็นดราม่าความขัดแย้งทางธุรกิจที่เปิดเผยสู่สาธารณะ กลายเป็นเรื่องราวที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับ “อนาคต” และ “จิตวิญญาณ” ของแบรนด์ “ดุสิตธานี” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สถานการณ์ส่อเค้าความครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อมีการเดินเกมเสนอวาระเพื่อ “ถอดถอน” คุณชนินทธ์ โทณวณิก ทายาทรุ่นสองและแม่ทัพคนสำคัญ ออกจากตำแหน่งกรรมการบริษัทในการประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 26 กันยายนนี้ ท่ามกลางคำถามมากมายว่า “เกิดอะไรขึ้น?” และนี่คือแผนเปิดทางให้ใครเข้ามา “ครอบงำ” กิจการหรือไม่?
“ชนินทธ์” ตั้งโต๊ะแถลงสวนหวัง “ปกป้องแบรนด์”
ล่าสุด คุณชนินทธ์ โทณวณิก ตั้งโต๊ะแถลงข่าวด่วนกับสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมาพร้อมกับชี้แจงทุกประเด็นแบบเปิดอก เพื่อสื่อสารถึง Stakeholders ทุกฝ่าย โดยเฉพาะผู้ถือหุ้นรายย่อยและคนไทยที่ผูกพันกับแบรนด์มายาวนาน
สำหรับเนื้อหาจากการแถลงข่าว Marketing Oops! สรุปประเด็นมาให้อ่านแบบเข้าใจง่ายๆดังนี้
เรื่องแรกเลยก็คือ “ต้นตอไม่ใช่เรื่อง Performance แต่คือ “รอยร้าวในครอบครัว” โดยคุณชนินทธ์ยืนยันว่า ปมขัดแย้งนี้มีจุดเริ่มต้นหลังการถึงแก่กรรมของ ท่านผู้หญิงชนัต ปิยะอุย ผู้ก่อตั้ง ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งภายในกลุ่มทายาททั้ง 3 คน คือ คุณชนินทธ์ โทณวณิก, คุณสินี เธียรประสิทธิ์ และ คุณสุนงค์ สาลีรัฐวิภาค โดยการดำเนินการถอดถอนครั้งนี้ ถูกเสนอโดยฝั่งของน้องสาวสองคน คือคุณสินีและคุณสุนงค์ ซึ่งมีสัดส่วนหุ้นใน “บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด” (บริษัทโฮลดิ้งที่ถือหุ้นใหญ่ใน DUSIT) รวมกันมากกว่าพี่ชาย
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ Case Study สุดคลาสสิกของธุรกิจครอบครัว (Family Business) ที่เมื่อการส่งต่ออำนาจไปสู่รุ่นต่อไปไม่มีความชัดเจน หรือวิสัยทัศน์ของทายาทแต่ละคนแตกต่างกัน ก็มักจะนำมาสู่ความขัดแย้งที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจหลักเสมอ
สำหรับประเด็นที่เดือดที่สุดในแถลงการณ์ครั้งนี้ คือการที่ “คุณชนินทธ์” แสดงความกังวลต่อการเสนอชื่อกรรมการใหม่บางคนที่มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับ “กลุ่มเซ็นทรัล” พร้อมเปิดไพ่ว่าในอดีต กลุ่มเซ็นทรัลเคยพยายามเข้าถือหุ้น DUSIT หลายครั้ง และเคยถือสูงถึง 22.5% โดยไม่แจ้ง ซึ่งขัดต่อหลักการเป็นพันธมิตรในโครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค เพราะถือเป็นคู่แข่งทางธุรกิจโดยตรง การเคลื่อนไหวนี้จึงถูกมองว่าอาจเป็นความพยายามเข้าครอบงำกิจการ (Hostile Takeover) ผ่านความขัดแย้งภายใน ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อ Brand Positioning ของดุสิตธานีที่สั่งสมมานาน รวมถึงอาจเกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (Conflict of Interest) ในการบริหารโครงการร่วมทุนมูลค่ามหาศาล
ในมุมที่ถูกโจมตีเรื่องผลประกอบการขาดทุน คุณชนินทธ์ชี้แจงว่า นี่คือผลกระทบจากภาระดอกเบี้ยของ Mega Project อย่าง “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” มูลค่า 46,000 ล้านบาท และวิกฤตโควิด ซึ่งบริษัทเลือกที่จะประคองธุรกิจผ่านมาโดย “ไม่เคยเพิ่มทุน” ผลักภาระให้ผู้ถือหุ้น พร้อมตอกย้ำด้วยข้อมูลสำคัญว่า โครงการส่วนที่พักอาศัย “ดุสิต เรสซิเดนเซส” มียอดจองแล้วถึง 92% และกำลังจะกลายเป็นเครื่องจักรสร้างรายได้ก้อนใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัทในเร็วๆนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการลงทุนเพื่อการเติบโตในระยะยาว (Long-term Investment) ที่กำลังจะผลิดอกออกผล และจะช่วยปลดภาระหนี้สินจำนวนมากได้ในอนาคตอันใกล้
คุณชนินทธ์ ย้ำว่าการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่การต่อสู้ส่วนตัว แต่เป็นการปกป้องดุสิตธานี ปกป้องเจตนารมณ์ ‘Business with Honor’ ของ “คุณแม่” นี่คือคำประกาศที่ชัดเจนว่า การออกมาแถลงครั้งนี้ไม่ได้เป็นการปกป้องตำแหน่งของตัวเองแต่เป็นการต่อสู้เพื่อรักษา DNA และ Brand Legacy ที่สั่งสมมาของดุสิตธานีเอาไว้ ซึ่งเป็นคุณค่าที่จับต้องไม่ได้แต่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความเชื่อมั่นของลูกค้า คู่ค้า และพนักงานทุกคน
มุมมองจาก CEO “ศุภจี สุธรรมพันธุ์” ย้ำการดำเนินงานยังเป็นปกติ

ท่ามกลางความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ในฝั่งของผู้บริหารมืออาชีพ คุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดุสิตธานี ได้ออกมาให้ความเชื่อมั่นกับทุกฝ่าย โดยระบุว่าการจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเป็นกระบวนการปกติภายใต้กฎหมายและหลักบรรษัทภิบาล
“ดิฉันขอยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้น โดยทีมผู้บริหารและพนักงานทุกคนยังคงปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ จนกว่าที่ประชุมผู้ถือหุ้นจะมีมติ… และเรายังคงยึดมั่นในการทำงานร่วมกับทุกฝ่าย ด้วยความโปร่งใสภายใต้หลักธรรมาภิบาล เพื่อประโยชน์สูงสุดขององค์กร ผู้ถือหุ้น และผู้มีส่วนได้เสียทุกท่าน”
คุณศุภจียังได้กล่าวเสริมถึงอนาคตอันใกล้ของบริษัทว่า “หลังจากนี้ จะเป็นช่วงเวลาเก็บเกี่ยวจากสิ่งที่ผู้บริหารและพนักงาน รวมถึงคณะกรรมการบริษัทฯ ได้สร้างไว้ ดังนั้น ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงกรรมการหรือผู้บริหาร แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้อย่างแน่นอน คือ การที่ดุสิตธานีจะสามารถรับรู้รายได้และผลกำไรในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนภายในปีหน้าหลังจากจากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการอาคารที่พักอาศัย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค และเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของกลุ่มดุสิตธานี”
ย้อนไทม์ไลน์ปมปัญหา “ดุสิตธานี”
สำหรับคนที่เพิ่งติดตาม ดราม่าครั้งนี้มีที่มาที่ไปที่ซับซ้อน ปัญหาเหล่นี้สะท้อนให้เห็นภาพของความขัดแย้งที่ค่อยๆ บานปลายโดยจะอธิบายแบบเรียงไทม์ไลน์ดังนี้
จากรอยร้าวในครอบครัวสู่สมรภูมิธุรกิจ

ต้นตอของมหากาพย์ครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากผลประกอบการ แต่หยั่งรากลึกมาจากความขัดแย้งภายในครอบครัว “ปิยะอุย” ภายหลังการถึงแก่กรรมของ ท่านผู้หญิงชนัต ปิยะอุย ผู้ก่อตั้งโรงแรมดุสิตธานี
หัวใจของความขัดแย้งอยู่ที่อำนาจการบริหารใน “บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด” ซึ่งเปรียบเสมือนบริษัทโฮลดิ้งของครอบครัว และเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดใน บมจ.ดุสิตธานี (DUSIT) ด้วยสัดส่วนถึง 49.74% โดยโครงสร้างผู้ถือหุ้นภายในบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ประกอบด้วยทายาททั้ง 3 คนในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันแต่ไม่เท่ากัน ได้แก่:
- กลุ่มคุณชนินทธ์ โทณวณิก (พี่ชายคนโต) ถือหุ้นประมาณ 25.4%
- กลุ่มคุณสินี เธียรประสิทธิ์ (น้องสาวคนกลาง) ถือหุ้นประมาณ 26.57%
- กลุ่มคุณสุนงค์ สาลีรัฐวิภาค (น้องสาวคนเล็ก) ถือหุ้นประมาณ 21.62%
- ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย (กองมรดก) ถือหุ้น 24.99%
จุดเปลี่ยนสำคัญคือ เมื่อสัดส่วนหุ้นของน้องสาวสองคน คือ คุณสินี และ คุณสุนงค์ รวมกันแล้วได้ 48.19% ซึ่ง มีอำนาจมากกว่า หุ้นของคุณชนินทธ์ที่เป็นพี่ชาย สิ่งนี้ทำให้ฝั่งน้องสาวสามารถกุมเสียงข้างมากและมีอำนาจตัดสินใจทิศทางของ “บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด” ได้
ดังนั้น เมื่อฝั่งน้องสาวทั้งสองต้องการให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใน บมจ.ดุสิตธานี พวกเขาจึงสามารถใช้มติของ “บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด” ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่เกือบ 50% เพื่อดำเนินการต่างๆ ได้ตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการโหวตไม่รับรองงบการเงิน หรือการเสนอวาระเพื่อถอดถอนกรรมการ ซึ่งก็คือคุณชนินทธ์นั่นเอง นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ความขัดแย้งภายในครอบครัวบานปลายออกมาสู่การเปลี่ยนแปลงในบริษัทมหาชน
ไทม์ไลน์ความขัดแย้ง
พฤษภาคม 2568 ความขัดแย้งได้ปรากฏสู่สาธารณะอย่างเป็นทางการ เมื่อ “บริษัท ชนัตถ์และลูก” ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนด้วยการ “โหวตไม่รับรอง” งบการเงินปี 2567 ของ DUSIT ในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น โดยให้เหตุผล 2 เรื่องคือ
- ไม่พอใจคำชี้แจงของคณะกรรมการ: ทางบริษัท ชนัตถ์และลูก ระบุว่า คณะกรรมการของ DUSIT ไม่ได้ตอบคำถามเกี่ยวกับ สินทรัพย์ หนี้สิน เงินลงทุน และเงินให้กู้แก่บริษัทย่อยให้กระจ่างชัด
- ผลประกอบการขาดทุนต่อเนื่อง: ต้องการเห็นการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น หลังจากที่ DUSIT มีผลประกอบการขาดทุนติดต่อกัน 5 ปี ทำให้บริษัท ชนัตถ์และลูก ไม่ได้รับเงินปันผลมานานกว่า 5 ปีแล้ว
โดยภาพรวมผลประกอบการ 5 ปีย้อนหลังของ DUSIT:
- ปี 2563: ขาดทุน 1,011 ล้านบาท
- ปี 2564: ขาดทุน 945 ล้านบาท
- ปี 2565: ขาดทุน 501 ล้านบาท
- ปี 2566: ขาดทุน 570 ล้านบาท
- ปี 2567: ขาดทุน 237 ล้านบาท
เหตุการณ์นี้ถือเป็นเรื่องไม่ปกติอย่างยิ่งในโลกธุรกิจ และเป็นการส่งสารชัดเจนว่าผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่พอใจทิศทางการบริหารงานของคณะกรรมการชุดปัจจุบัน
“ชนัตถ์และลูก” บรรจุวาระถอดถอน “ชนินทธ์”
เช้าวันที่ 27 สิงหาคม 2568 ก่อนการแถลงข่าวของคุณชนินทธ์, DUSIT ได้ส่งเอกสารแจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) อย่างเป็นทางการ ถึงการบรรจุวาระพิจารณาถอดถอนนายชนินทธ์ โทณวณิก ออกจากตำแหน่งกรรมการ ในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น โดยระบุว่าเป็นการดำเนินการตามคำขอของ “บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด” ที่ใช้สิทธิในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ในเอกสารฉบับเดียวกัน คณะกรรมการบริษัท (ที่ไม่รวมผู้มีส่วนได้เสีย) ได้แนบความเห็นเพิ่มเติม เชิญชวนให้ผู้ถือหุ้นใช้วิจารณญาณอย่างสูง โดยได้เน้นย้ำถึงคุณสมบัติ ประสบการณ์ และบทบาทสำคัญของคุณชนินทธ์ในฐานะทายาทผู้ก่อตั้ง ผู้สืบทอดเจตนารมณ์ และเป็นผู้ริเริ่มโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค
“การถอดถอนนายชนินทธ์ โทณวณิก จะส่งผลกระทบต่อบริษัท… รวมถึงโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค และความเชื่อมั่นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกส่วน” เอกสารของ DUSIT ระบุ
ชนินทธ์ แถลงข่าวด่วน
สายวันที่ 27 สิงหาคม 2568 ฝั่งคุณชนินทธ์ โทณวณิก ได้จัดแถลงข่าวด่วน ชี้แจงว่าต้นตอคือปัญหาในครอบครัว พร้อมแสดงความกังวลว่าการกระทำของน้องสาวอาจเป็นการเปิดทางให้ “กลุ่มเซ็นทรัล” เข้ามาครอบงำกิจการ โดยอ้างถึงความพยายามเข้าถือหุ้นในอดีตของกลุ่มเซ็นทรัล และการเสนอชื่อกรรมการใหม่ที่มีความเชื่อมโยงกัน
CPN แถลงชี้แจง
ช่วงบ่ายของวันเดียวกัน ฝั่งเซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ออกแถลงการณ์ปฏิเสธทันที โดยยืนยันหนักแน่นว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับความขัดแย้งและการตัดสินใจของ “บริษัท ชนัตถ์และลูก” พร้อมชี้แจงว่าการถือหุ้น 17.09% เป็นไปในฐานะ “พันธมิตรทางธุรกิจ” ในโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค มาตั้งแต่ปี 2560 และการเสนอชื่อกรรมการเป็นไปตามสิทธิของผู้ถือหุ้นโดยไม่มีอำนาจควบคุมทิศทางของบริษัท
จับตาวันประชุมผู้ถือหุ้น 26 ก.ย.
26 กันยายน นี้นับได้ว่าเป็นวันชี้ชะตา ก็คือวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นที่จะมีการลงมติในวาระสำคัญ คือการ “ถอดถอน” คุณชนินทร์ออกจากตำแหน่งกรรมการ ซึ่งผลการลงมติในวันนั้นจะเป็นตัวกำหนดทิศทางและโครงสร้างอำนาจของดุสิตธานีในอนาคตได้เลย
บทสรุปของดราม่าศึกสายเลือดครั้งนี้จะเป็นอย่างไร? อนาคตของแบรนด์โรงแรมระดับตำนานของไทยจะอยู่ในมือของใคร? คำตอบทั้งหมดจะถูกตัดสินในวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ซึ่งจะเป็นการชี้ชะตาว่าจิตวิญญาณและมรดกที่ท่านผู้หญิงชนัตได้สร้างไว้ จะยังคงอยู่ต่อไปในทิศทางเดิมหรือไม่ ในขณะที่คุณชนินทธ์ เองก็ประกาศว่าจะใช้สิทธิตามกฎหมายเรียกร้องความยุติธรรมต่อไป
กรณีนี้นับเป็น Case Study ด้าน Branding, Crisis Management และ Corporate Governance ที่องค์กรและนักธุรกิจควรเรียนรู้อย่างยิ่ง