บนเวที The Secret Sauce Summit 2025 เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า “อะไรคือ Mindset และ Skillset ที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้ประกอบการในวันนี้ หากอยากเติบโตต่อในอีก 5 ปีข้างหน้า”
คุณต๊อบ – อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ซีอีโอเถ้าแก่น้อย ตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า ก่อนจะพูดถึงการเติบโต ผู้ประกอบการควรเริ่มจากสิ่งที่ต้อง “ระวังหลัง” ให้ได้ก่อน
“ทุกธุรกิจไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่ต้องระวังหลังจะคล้ายกัน ผมแบ่งเป็น 3 เรื่องใหญ่ที่ผมใช้เตือนตัวเองและทีมเสมอ”
3 สิ่งที่ ‘ต๊อบ เถ้าแก่น้อย’ บอกว่าผู้ประกอบการต้องระวังหลังให้ดี
1. Mindset แห่งการปรับตัว
สิ่งแรกที่คุณต๊อบย้ำคือ “Mindset ในการปรับตัว”
เขาเชื่อว่าความสำเร็จในอดีตไม่ใช่หลักประกันของอนาคต และองค์กรที่ดีแค่ไหน ถ้าไม่ยอมปรับ ก็สามารถกลายเป็นองค์กรที่ล้าสมัยได้ในเวลาไม่นาน
“เราต้องมี Awareness ตลอดเวลา ต้องกล้าปรับ ต้องยอมรับความจริง แล้วลงมือเปลี่ยนแปลง”
เขาอธิบายต่อว่า โลกทุกวันนี้เปลี่ยนเร็วเกินกว่าจะนิ่งอยู่กับที่ได้ แม้แต่บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกก็ยังต้องเผชิญการเปลี่ยนผ่านอย่างต่อเนื่อง
“Facebook ยังต้องเจอ TikTok, Google ยังต้องเจอ OpenAI, ส่วน Apple ก็ยังต้องสู้กับ Samsung และ Huawei”
สำหรับคุณต๊อบ การปรับตัวคือพลังสำคัญขององค์กรยุคใหม่ “ในหนังสือเขามี 7 Powers ใช่ไหมครับ สำหรับผม นี่คือ Power ที่ 8 พลังแห่งการปรับตัว”
เขาเล่าว่า 21 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่ทำให้เถ้าแก่น้อยยังยืนได้ในตลาดโลก คือ Mindset ที่กล้าปรับอยู่ตลอดเวลา
2. ESG: ต้นทุนใหม่ที่ต้องเข้าใจให้เร็ว
ประเด็นที่สอง คุณต๊อบชี้ว่า “ESG” ไม่ได้เป็นเพียงแค่เทรนด์ แต่กำลังกลายเป็นต้นทุนใหม่ของทุกธุรกิจทั่วโลก
“อย่างในอเมริกา ตอนนี้ทุกธุรกิจที่ปล่อยคาร์บอนต้องซื้อคาร์บอนเครดิต มันเป็นไฟต์บังคับ และมันคือต้นทุน”
เขายอมรับตรงๆ ว่านี่คือสิ่งที่หลายองค์กรยังไม่ทันตั้งรับ โดยเฉพาะ SME ที่อาจยังไม่มีทรัพยากรพอจะปรับตัว
คุณต๊อบเล่าว่า ภายในเถ้าแก่น้อยเอง เขาเริ่มต้นจากการสร้าง “ความตระหนักรู้” ภายในองค์กรก่อน ตั้งเป้าและกำหนดเป้าหมาย ESG ให้ชัด แล้ว “สื่อสารให้ทุกคนในทีมเข้าใจ” เพราะการมีเป้าหมายโดยไม่สื่อสาร ย่อมไม่มีผลลัพธ์
“ถ้าเราไม่ปรับ ESG จะกลายเป็นกับดักที่ทำให้สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน แต่ถ้าทำได้ดี มันกลับกลายเป็นตัวลดต้นทุนในระยะยาวได้”
3. ต้นทุนการผลิตและการแข่งขันในอนาคต
เรื่องสุดท้ายที่คุณต๊อบฝากไว้คือ “ต้นทุน” ซึ่งเขาเห็นชัดจากการเดินทางไปต่างประเทศบ่อยครั้งว่าประเทศไทยเริ่มเสียเปรียบด้านต้นทุนการผลิต
“ผมรู้สึกว่าต้นทุนของประเทศไทยเราเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ผู้ประกอบการต้องระวังเรื่องนี้มาก เพราะถ้าเราไม่หาวิธีควบคุมต้นทุน หรือไม่มีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยลดกระบวนการ ตรงนี้จะกลายเป็นกับดักที่ทำให้เราแข่งขันยากขึ้น”
เขามองว่าการบริหารต้นทุนในยุคต่อไปคือการออกแบบระบบการผลิตใหม่ทั้งห่วงโซ่ เพื่อสร้างความยั่งยืนโดยไม่ลดคุณภาพ
ปัญญา 3 ข้อ ที่คุณต๊อบใช้พา “เถ้าแก่น้อย” เติบโต
เมื่อพูดถึง “การบุกตลาด” หรือ “กลยุทธ์ความสำเร็จ” หลายคนอาจคาดหวังสูตรซับซ้อนหรือเทคนิคเฉพาะตัว แต่สำหรับคุณต๊อบ เขากลับมองว่าทุกอย่างเริ่มจากสิ่งธรรมดาที่สุด นั่นคือ “ปัญญา”
“ผมว่าทั้งหมดมันเริ่มจาก Wisdom ครับ เราต้องมีสูตรปัญญาของเราเอง”
คุณต๊อบเล่าว่า ตลอด 21 ปีในการสร้างแบรนด์เถ้าแก่น้อย เขาสังเกตว่าผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จมักมีสิ่งหนึ่งร่วมกัน นั่นคือ “ปัญญาในการรู้จักตัวเอง” ว่ารักอะไร เก่งอะไร และอะไรคือเครื่องยนต์ที่ทำให้ธุรกิจเติบโตได้จริง
1. รู้ว่าเรารักอะไร
“ผมต้องรู้ก่อนว่าผมชอบอะไร แพสชั่นคืออะไร ตื่นเช้ามาแล้วอยากทำอะไร”
คุณต๊อบเชื่อว่าความรักในสิ่งที่ทำคือจุดแข็งที่แท้จริง เพราะมันทำให้คนไม่ถอดใจง่ายๆ เขายกตัวอย่างตัวเองว่า แม้จะเจอปัญหานับไม่ถ้วน แต่ทุกครั้งที่ต้องแก้ เขากลับ “สนุก” ที่ได้หาทางออก
“ถ้าคนอื่นเขาไม่รัก เขาเลิกไปนานแล้ว แต่พอเรารัก เราจะอยากแก้ปัญหา แล้วสุดท้ายเราก็จะเจอทางออกของมัน”
สำหรับเขา Passion คือพลังที่ทำให้ผู้ประกอบการยืนหยัดได้ในวันที่ตลาดไม่เป็นใจ
2. รู้จุดแข็ง และรู้วิธีอัปสกิลตัวเอง
“เมื่อรู้แล้วว่าเราชอบอะไร สิ่งต่อมาคือเราต้องรู้จุดแข็งของเรา และหาทางอัปสกิลมันให้ดีขึ้นเรื่อยๆ”
คุณต๊อบเล่าย้อนถึงวันแรกที่เริ่มทำสาหร่าย ตอนนั้นเขายังไม่เชี่ยวชาญเลยด้วยซ้ำ แต่รู้ว่าถ้าเลือกสินค้าที่ตัวเองเข้าใจตลาดได้ และสร้างความแตกต่างด้านบรรจุภัณฑ์ได้ ก็สามารถแข่งขันในสนามนั้นได้
“ตอนแรกผมไม่ได้เก่งเรื่องสาหร่ายนะ แต่ผมรู้ว่าถ้าผมทำตรงนี้ แล้วใส่แพ็กเกจแบบนี้ ผมพอมีทางสู้ได้”
จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ นั้น เขาใช้เวลาอัปสกิลจนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมนี้แบบที่ “ใครจะตามก็เริ่มยากขึ้นทุกวัน”
เขาอธิบายว่า การรู้จุดแข็งของตัวเองไม่ใช่แค่การรู้ว่า “เราทำอะไรได้ดี” แต่ต้องรู้ด้วยว่า “เราจะพัฒนาอย่างไรให้คนอื่นตามไม่ทัน”
3. รู้ว่า Growth Engine ของธุรกิจคืออะไร
“ทุกธุรกิจมี Engine ของมัน ตัวขับเคลื่อนที่ทำให้บริษัทเติบโต”
คุณต๊อบมองว่าผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จคือคนที่ “มองทะลุ” ว่าตัวขับเคลื่อนของบริษัทคืออะไร แล้วใส่พลังลงไปตรงจุดนั้น
“เราต้องมองให้เห็นว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้บริษัทโตโดยที่ต้นทุนไม่เพิ่มเป็นเงาตามตัว แต่โตได้อย่างต่อเนื่อง”
Growth Engine ที่ดีคือสิ่งที่ขยายได้ (scalable) โดยไม่ต้องเพิ่มต้นทุนในสัดส่วนเท่ากับยอดขาย เช่น การสร้างระบบ การสร้างทีมที่เก่ง หรือการสร้างแบรนด์ที่ขับเคลื่อนตัวเองได้
เขาสรุปว่า ถ้าเรามี 3 สิ่งนี้ครบ รู้ว่าเรารักอะไร / รู้จุดแข็งของตัวเอง / และรู้ว่า Growth Engine คืออะไร นั่นคือพื้นฐานของทุกผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จจริง
“ผมไม่เชื่อเรื่องเกษียณเร็ว”: 3 เทียร์ของสกิลที่จะทำให้ชีวิตยืดหยุ่น
ตลอดกว่า 20 ปีในการสร้างอาณาจักรสาหร่าย เถ้าแก่น้อย จากแบรนด์เล็กสู่สินค้าระดับโลกที่ขายในกว่า 40 ประเทศ พูดได้ว่าคุณต๊อบสามารถเกษียณได้ตั้งแต่อายุ 30 แต่เขาเลือกจะ “ไม่เกษียณ” และเลือกจะทำงานต่อด้วยเหตุผลที่ลึกซึ้งกว่าคำว่า “ยังไม่พอ”
“ผมไม่เชื่อเรื่องเกษียณเร็วครับ เพราะผมคิดว่าก่อนอายุ 50 ทุกคนควรสร้างสกิลให้ครบ 3 เทียร์”
คุณต๊อบอธิบายว่า การเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตไม่ได้อยู่ที่จำนวนเงินออม แต่อยู่ที่ “จำนวนสกิล” ที่เรามี
“ผมว่าการเก็บเงินออมเป็นเรื่องดี แต่ไม่เกี่ยวกับการเกษียณเร็วเลย ถ้าจะเกษียณเร็ว คุณต้องมีสกิลที่พร้อมจริง ที่จะรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกได้”
เขาแบ่งกรอบคิดของตัวเองออกเป็น 3 เทียร์อย่างชัดเจน
Tier 1: Core Skill – ทักษะแกนหลักที่เป็นตัวตน
คือสิ่งที่เราเชี่ยวชาญที่สุด และเป็นรากของอาชีพหรือธุรกิจ เช่น สำหรับเขา “การเป็นผู้ประกอบการด้านอาหาร” คือ Core Skill ที่ต้องฟูมฟักให้ลึกที่สุด
“ผมทำสาหร่าย นี่คือคอร์หลักของผม เป็นตัวตนของผม เป็น entrepreneur นี่คือเทียร์แรกของผม”
Tier 2: Second Skill – ทักษะเสริมเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลง
โลกหมุนเร็วขึ้นทุกวัน ไม่มีใครรู้ว่าตำแหน่งที่ทำอยู่วันนี้ จะยังเป็นที่ต้องการในอีก 10 ปีหรือไม่ การมี Second Skill เช่น ความรู้ด้านการลงทุน การบริหาร หรือเทคโนโลยี จึงเป็น “ช่องทางสำรอง” ที่เปิดทางเลือกในชีวิต
“ถ้าเรามีสกิลที่สอง อย่างเช่นเราลงทุนเป็น เราก็ยังมีทางไปต่อได้ มีช้อยส์มากขึ้น”
Tier 3: Third Skill – ทักษะใหม่ที่ต่อยอดอนาคต
คุณต๊อบเชื่อว่า การมีทักษะที่สามจะทำให้ชีวิตยืดหยุ่นและเติบโตต่อได้เสมอ แม้โลกจะเปลี่ยนไปแค่ไหน
“ผมอายุ 40 แล้ว ผมยังมีเวลาที่จะเรียนรู้สกิลอื่นอีก ถ้ามีครบสามสกิล ผมว่าชีวิตจะยืดหยุ่นขึ้นมาก และเราจะเกษียณได้จริง”
สำหรับเขา สกิลที่สามคือ Real Estate
“ผมชอบเรื่องอสังหาริมทรัพย์ ผมลงทุนตรงนี้ไว้ เพราะมองว่าอนาคตถ้าผมไม่ได้ทำงานแล้ว ผมยังมีทรัพย์สินที่ให้เช่าได้ เป็นสกิลที่ต่อยอดได้จริง”
เมื่อถูกถามว่า แล้วถ้าอายุ 50 จะหยุดไหม? คุณต๊อบตอบโดยไม่ลังเล
“ผมก็จะทำต่อครับ ถ้ามันยังตอบโจทย์สามเรื่องของผมอยู่ — passion, strength, growth engine”
เขาเสริมว่า “ผมยังรู้สึกว่าผมอยากเห็นเถ้าแก่น้อยไปถึงระดับโลก ผมรู้ว่าแบรนด์นี้มีศักยภาพ และผมกับทีมยังต้องพิสูจน์ว่าทำได้แค่ไหน”