
“เราจะสร้าง AI มาช่วยงานได้ยังไง?” ก่อนหน้านี้อาจเป็นคำถามที่ไกลตัวเรามากๆ แต่ตอนนี้กำลังมีคำตอบแล้วจากผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Google ที่ทำให้เราสามารถสร้างแอปที่มี AI อยู่เบื้องหลังเองได้จริงๆ เพราะล่าสุด Google Labs เพิ่งเปิดตัว “Opal” เครื่องมือสร้าง AI Agent ,Automation Workflow หรือแม้แต่สร้าง AI Apps ออกมาให้คนไทยได้ใช้งานอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งความเจ๋งของเครื่องมือนี้ก็คือแม้เราจะไม่มีความรู้เรื่องการเขียน “โค้ด” ก็สร้างแอปหรือ workflow ได้เหมือนกัน
Opal คืออะไร และ สร้างแอปได้อย่างไร?

Opal คือแพลตฟอร์ม Low-code/No-code จาก Google ที่ให้ผู้ใช้งานทั่วๆไปอย่างเราๆ สามารถสร้าง Flow การทำงาน, ระบบอัตโนมัติ หรือพูดง่ายๆว่าเราสามารถสร้าง “App” ที่มี AI อย่าง Gemini อยู่เบื้องหลังขึ้นมาได้เอง โดยไม่ต้องมีความรู้เรื่องการเขียนโค้ดใดๆเลย ซึ่งวิธีใช้งานก็มีหลักการเหมือนต่อเลโก้ง่ายๆคือ
Input (ข้อมูลหรือสิ่งที่ผู้ใช้งานต้องใส่เข้าไป) > Generate (โมเดล AI ที่ใช้และสิ่งที่ต้องการให้ AI ทำกับข้อมูล input) > Output (ผลลัพธ์สุดท้ายที่ต้องการ)
เช่นถ้าเราจะทำแอปเปลี่ยนภาพถ่ายให้เป็นภาพวาด
“Input” คือ ภาพถ่ายที่ผู้ใช้อัปโหลด > “Generate” คือ โมเดล AI สร้างภาพที่เราเลือก > “Output” คือ ภาพวาดที่ Gen มาจากภาพถ่ายที่อัพโหลดเข้าไปอีกที
วิธีใช้ให้เราเข้าไปที่ https://opal.google/ แล้วเริ่มสร้างแอปโดยเราสามารถทำได้ 2 วิธีคือ

- สร้างด้วยการ Prompt คือถ้าเราไม่รู้จะเริ่มยังไงก็พิมพ์ Prompt เป็นภาษาไทยเข้าไปเลยว่าอยากได้แอปอะไร เช่น “สร้างแอปแกะเทปจากภาษาอะไรก็ได้เป็นภาษาไทย” Opal ก็จะสร้าง “Visual Workflow” หรือ Flow การทำงานเป็นกล่องๆออกมาให้เราเห็นบนกระดานโดยอัตโนมัติ ซึ่งแต่ละกล่องเราสามารถกำหนดหน้าที่ด้วยการเลือก หรือเขียน prompt เข้าไปให้มันใหม่ได้
- สร้างด้วยการ “ลากวาง” สำหรับคนที่คุ้นเคยกับ Logic หรือเครื่องมืออย่าง n8n, Zapier เราสามารถเลือกสร้างเองทีละขั้นตอนได้ โดยการลากกล่อง Input (รับข้อมูล), Generate (สั่ง AI ทำงาน), และ Output (แสดงผลลัพธ์) มาต่อกันเป็น Flow ได้เลย
ลองสร้าง “แอปแกะเทปเสียง” ด้วย Prompt ภาษาไทย

เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น เราได้ทดลองสร้างแอปขึ้นมาจริงๆ โดยพิมพ์ Prompt ภาษาไทยว่า
“สร้างแอปที่ช่วยแกะเทปเสียงออกมาเป็นภาษาไทย มีช่องให้ใส่รายละเอียดของเทปเสียงนั้นๆว่าอัดมาจากงานอะไรใครเป็นผู้พูดบ้างในเทปเสียงนั้น โดยเรียบเรียงออกมาเป็นภาษาไทยให้อ่านง่าย”

Opal เข้าใจคำสั่งของเราและจะสร้าง Flow การทำงานที่มีกล่อง Input (สีเหลือง) (ตามภาพ) ถึง 3 ช่อง ได้แก่ “Audio Recording” (ไฟล์เสียง), “Recording Purpose” (จุดประสงค์), และ “Speaker Names” (ชื่อผู้พูด)
ด้าน Generate มันสร้างขั้นตอนการประมวลผล (สีฟ้า) ต่อกันให้ทันที คือ “Transcribe Audio” (ถอดเสียง), “Translate to Thai” (แปลไทย), และ “Generate Thai Webpage” (สร้างหน้าเว็บผลลัพธ์)
Opal ยัง สร้างหน้าแอปชื่อ “Thai Scribe” พร้อมคำอธิบาย และปุ่ม “Start” ให้เราทดลองใช้งานที่ฝั่งขวาของหน้าจอได้ทันที
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากการใช้ Prompt ภาษาไทยเพียงประโยคเดียว ทำให้เห็นว่าเราสามารถสร้างเครื่องมือช่วยทำงานที่ซับซ้อนขึ้นมาใช้เองได้ โดยไม่จำเป็นต้องรู้วิธีเขียนโค้ดเลย

จากการใช้งานอัพโหลดไฟล์เสียงและให้แอปแกะเทปมาให้เราในเวอร์ชั่นแรกก็ถือว่าทำงานได้โอเคเลย
สร้างเสร็จแล้วแชร์ให้คนอื่นใช้ยังไง?
เมื่อเราสร้างแอปจนพอใจและทดลอง Preview แล้วว่าใช้งานได้จริง เราสามารถแชร์แอปนี้ให้เพื่อน, ทีมงาน หรือคนอื่นๆ ใช้ได้ทันที โดย

- กดปุ่ม “Share app” ที่มุมขวาบนของหน้าจอ
- ในหน้าต่าง Pop-up ที่เด้งขึ้นมา ให้เรากดสวิตช์จาก “Private” (ส่วนตัว) ให้เป็น “Public” (สาธารณะ)
- จากนั้นกด “Copy link” เพื่อคัดลอก URL ของแอปเรา แล้วส่งลิงก์นี้ให้คนที่ต้องการได้เลย

คนที่ได้แอปเราไปใช้ก็จะมีหน้าตาแอปแบบในภาพ ซึ่งคนที่ได้แอปไปก็สามารถกด “Remix” ที่มุมขวาบนเพื่อปรับปรุงแก้ไขแอปนั้นๆเพื่อให้เหมาะกับงานของตัวเองต่อไปได้ด้วย
Google Ecosystem คือ จุดแข็ง ที่ชนะคู่แข่ง
ถ้าพูดถึงเครื่องมือสร้าง Automation ทั่วไป หลายคนอาจจะคุ้นเคย แต่สิ่งที่ทำให้ Opal “เก่ง” กว่าคู่แข่งในตอนนี้ คือการเชื่อมโยงกับ Google Ecosystem นั่นหมายความว่า Opal จะมีความสามารถหลายๆอย่างเช่น
- ดึงข้อมูลจาก Google Drive: ทั้งไฟล์เอกสาร, รูปภาพ, PDF
- อ่านและเขียน Google Docs: เช่น สั่งให้ AI สรุปบทความใน Doc หรือเขียนรายงานลง Doc ใหม่
- อ่านและเขียน Google Sheets: สร้าง Dashboard, วิเคราะห์ข้อมูลจาก Sheet หรือสั่งให้ AI ไปอัปเดตข้อมูลในตาราง
- ดึงข้อมูลจาก Google Slides: สรุปเนื้อหาจากสไลด์
- วิเคราะห์ YouTube: สั่งให้ AI ดูวิดีโอแล้วสรุปเนื้อหา หรือสร้าง Quiz จากคลิป
- ค้นหาด้วย Google Search: ดึงข้อมูล Real-time จากอินเทอร์เน็ตมาใช้ใน Flow
- เรียกใช้ Gemini เช่น Gemini 2.5 Flash, Pro ให้มา Generate เนื้อหา, วิเคราะห์ หรือประมวลผลอย่างเช่นการแปลภาษา หรือ เกะเทปแบบที่เราทำ เป็นต้น
Use Cases จริงที่นักการตลาดหยิบไปใช้ได้
สำหรับงานการตลาดเราก็สามารถสร้าง แอป AI ที่ช่วยเราทำงานง่ายๆเช่น
- สร้างแอปสรุปวิดีโอคู่แข่ง ใส่ลิงก์ YouTube ของคู่แข่ง หรือคลิปสัมภาษณ์ที่น่าสนใจ เพื่อให้ AI สรุปประเด็นสำคัญ, Key Takeaway, หรือ Transcribe ออกมาเป็นข้อความ
- สร้างแอป Monitor ราคา/สต็อกสินค้า ดึงข้อมูลจากหน้าเว็บ E-commerce ของคู่แข่ง เพื่อ Monitor ราคา หรือการอัปเดตสินค้าแบบ Real-time
- สร้างแอป AI ช่วยสร้างภาพประกอบคอนเทนต์ อัปโหลดรูปสินค้า หรือรูปต้นแบบ แล้วสั่งให้ AI (Nano Banana) ช่วย Generate ภาพในมุมใหม่ๆ หรือเปลี่ยนพื้นหลังสำหรับใช้ทำคอนเทนต์
- สร้างแอป Brainstorm ไอเดียคอนเทนต์ รับ “Keyword” หรือ “Topic” แล้วให้ AI (Gemini + Google Search) ไปค้นหาข้อมูล Real-time แล้ว Generate ไอเดียหัวข้อบทความ หรือ Social Media Captions ออกมา 5-10 แบบ
- สร้างแอปเขียนร่างบทความ ที่รับจากผู้ใช้งาน “หัวข้อบทความ” แล้วให้ AI ไปค้นหาข้อมูล เขียนและ Export ลง Google Docs ให้ทันที
- สร้างแอปวิเคราะห์ข้อมูลแคมเปญ ด้วยการเชื่อมต่อกับ Google Sheets ที่มีข้อมูล Performance แคมเปญ แล้วสั่งให้ AI (Gemini) ช่วยวิเคราะห์และสรุป Key Insights หรือหาแนวโน้มที่น่าสนใจ
- สร้างแอปสรุปเนื้อหาจากสไลด์ อัปโหลดไฟล์ Google Slides เช่น ไฟล์ Presentation ของคู่แข่ง หรือไฟล์งานเก่าแล้วให้ AI สรุปเนื้อหาสำคัญออกมา
เริ่มง่ายๆ ด้วย “Template Gallery”

แต่ถ้าใครยังนึกไม่ออกว่าจะใช้ Opal สร้างแอปอะไรดี Opal ยังมี “Gallery” ที่รวมเอา Template หรือแอปตัวอย่างที่สร้างไว้แล้วมาให้เลือกใช้ เราสามารถกดเข้าไปลองเล่น หรือที่เจ๋งกว่านั้นคือการ “Remix” เพื่อคัดลอก Flow ทั้งหมดมาเป็นของเรา แล้วปรับแต่ง Prompt หรือเพิ่มขั้นตอนใหม่ให้เข้ากับงานของเราได้ทันที
Opal ยังอยู่ในช่วงทดลอง
แน่นอนว่า Opal ยังอยู่ในสถานะ “Experiment” ซึ่ง Google ก็บอกไว้ชัดเจนว่าอาจมีปัญหาการใช้งาน, ทำงานช้าบ้างในบางครั้ง หรือฟีเจอร์อาจเปลี่ยนแปลงได้ นอกจากนี้ตอนนี้ Opal ยังไม่สามารถเชื่อมต่อกับบริการภายนอกที่คนไทยใช้เยอะๆ เช่น LINE, Facebook หรือระบบ ERP เฉพาะขององค์กรได้ลึกเท่าเครื่องมือที่ซับซ้อนกว่าอย่าง n8n
การมาของ Opal ทำให้เราเริ่มเห็นแล้วว่ายุคที่ทุกคนสามารถใช้ AI สร้างแอป AI เป็นของตัวเองได้นัันกำลังจะมาถึงแล้ว เราเห็นได้เลยว่า Opal ลดกำแพงด้านเทคนิคอย่างการเขียนหรือความเข้าใจโค้ด ลงเกือบทั้งหมด แต่สิ่งที่เครื่องมือเหล่านี้ยังให้ไม่ได้คือ “Automation Thinking” หรือ “วิธีคิดเชิงอัตโนมัติ”
เพราะในยุคของ Automation เราจะต้องเป็นคน “คิดเป็น” ว่าจะสั่ง AI อย่างไร ออกแบบ Flow การทำงานตรงไหนเพื่อลดความซ้ำซ้อน, และจะเชื่อมโยงข้อมูลจากจุดไหนไปจุดไหนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
สำหรับใครที่สนใจตอนนี้ Opal เปิดให้คนไทยเข้าไปใช้งานแล้วฟรี เพียงแค่ใช้บัญชี Google เข้าไปทดลองใช้งาน Opal ได้ที่ https://opal.google/
