สำหรับปี 2565 ถือเป็นอีกช่วงเวลาที่ท้าทายอย่างมากสำหรับคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเศรษฐกิจที่อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และนั่นทำให้ต้นทุนในการใช้ชีวิตประจำวันสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว
ด้วยสารตั้งต้นไอเดียแบบ ของแพงทั้งแผ่นดิน FINN MOBILE จึงคิดทำหนังโฆษณาที่หยิบเอาทุกสิ่งที่ลดได้ลด มาลดในแบบ Ad on the budget แล้ว โยกงบงานช้างในโฆษณามาเป็นส่วนลดให้ลูกค้าแทน ไอเดียพลิกมุมมองใหม่จากทีมครีเอทีฟมือทอง โดย GREYnJ UNITED
FINN MOBILE ให้ฐานะที่เป็นผู้ให้บริการด้าน Digital Mobile Service รายแรกของไทยที่เชื่อในความ Make Sense จึงได้ “สวนกระแส” ออกโปรโมชั่นใหม่ที่ราคาถูกที่สุดที่เท่าที่เคยมีมา โดยลดสูงสุดถึง 75% เพื่อช่วยเหลือลูกค้าให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่าง Make Sense มากขึ้น สอดรับกับมีเป้าหมายของแบรนด์ที่ต้องการ “ดิสรัปต์” วงการโทรคมนาคมด้วยการชูจุดขายด้าน “ความคุ้มค่า จ่ายน้อยได้มาก และไม่สัญญาผูกมัด สามารถยกเลิกได้ตามใจ ทั้งยังกำหนด/ปรับเปลี่ยนการใช้งานด้วยตัวเองได้อย่างอิสระตลอด 24 ชั่วโมง”
เพื่อเป็นการตอบรับสภาวะค่าครองชีพสูง และสะท้อนสถานการณ์ปัจจุบันไปพร้อมกัน GREYnJ UNITED จึงสร้างสรรค์ไอเดียแคมเปญ #FINNลดท้าค่าครองชีพ ขึ้น โดยมี BIG IDEA สวนกระแสโฆษณาโดยทั่วไป ที่ไม่จำเป็นต้องใช้งบเยอะให้สื่อสารมีประสิทธิภาพ แต่สื่อสารออกไปว่าแคมเปญนี้ต้องการ ‘ลดงบโฆษณา’ เพื่อนำเงินไปทำส่วนลด ให้ลูกค้าประหยัดค่าครองชีพแทน
สำหรับชิ้นงานหลักยังคงเป็น “หนังโฆษณา” ที่ลดงบการผลิตลง ไม่ว่าจะเป็น CG คอสตูม ฉาก หรือแม้กระทั่งแอร์ไทม์ของพรีเซนเตอร์ เรียกได้ว่าส่วนไหนลดได้ก็ลดให้มากที่สุด เพื่อให้มีงบเหลือไปทดแทนให้กับโปรโมชั่นลูกค้า
และเพื่อลดงบโฆษณาให้มากที่สุดแต่ยังคงประสิทธิภาพสูงสุด GREYnJ UNITED จึงได้ใช้ Ambient Marketing ในการต่อยอดแคมแปญ #FINNลดท้าค่าครองชีพ โดยสร้างการรับรู้ผ่าน Customer Touchpoint ต่างๆ ที่ กลุ่มเป้าหมายใช้ชีวิตและเป็นจุดที่กลุ่มเป้าหมายได้รับผลกระทบจากค่าครองชีพในชีวิตประจำวันโดยตรง โดยเล่นอยู่บนบิ๊กไอเดีย “โลว์บัดเจ็ต ไฮไอเดีย” เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายได้มาใช้โปรลดค่าครองชีพจาก FINN MOBILE ผ่านซีรีส์ Outdoor Ads
#ร้านกาแฟ เป็นหนึ่งในไลฟ์สไตล์ของชาวออฟฟิศและคนรุ่นใหม่ที่หาความคุ้มค่าเพื่อชีวิตที่ Make sense รู้ไหมว่า ค่ากาแฟเมื่อเทียบกับรายได้โดยเฉลี่ยของคนไทยสูงกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วอื่นๆ โดยคนไทยมีรายได้ต่อเดือนราว 605$ แต่ราคาเฉลี่ยของกาแฟอยู่ที่ 2.29$ ขณะที่คนอเมริกันมีรายได้เฉลี่ยราว 6,2228$ แต่ราคากาแฟเฉลี่ยอยู่ที่ 3.12$ ส่วนคนอิตาลีมีรายได้ต่อเดือนราว 2,976$ แต่ค่ากาแฟเพียง 1.33$ เราจึงได้ผลิต Cup sleeve และกระดาษทิชชู่ เป็นอีกช่องทางในการสร้างการรับรู้ เลือกใช้มีเดียเล็กๆ แต่มีอิมแพค ชี้เป้าในจุดที่ค่าครองชีพสูงด้วยก็อปปี้โดนๆ อย่างยุคข้าวแพง! FINN MOBILE ประหยัดงบโฆษณามาลดค่าเน็ตโทรถึง 75% สะท้อนถึงความจริงใจของ FINN MOBILE ต่อลูกค้า เพื่อให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตได้อย่าง Make Sense มากขึ้น
#ค่าไฟ เป็นอีกหนึ่งบริการที่สูงขึ้นมาก ตั้งแต่ต้นปีพบว่าคนไทยเสียค่าไฟเพิ่มขึ้นถึง 32% จากต้นปี แต่เมื่อไฟฟ้าเป็นสาธารณูปโภคที่ต้องใช้ทุกวัน เราจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่เพิ่มขึ้นของค่าครองชีพได้ FINN MOBILE ใจป้ำ ลดราคาแพ็คเก็จถึง 75% พร้อมชี้เป้าโดยเลือกแร็บปลั๊กไฟตามร้านกาแฟที่คนใช้บริการมาก พร้อมก๊อปปี้หวือหวาอย่าง ค่าไฟพุ่ง! แต่ FINN MOBILE ลด เปลี่ยนงบโฆษณาเป็นส่วนลดค่าเน็ตโทรถึง 75%
#น้ำประปา เป็นอีกหนึ่งสาธารณูปโภคที่มีแนวโน้มสูงขึ้น แม้ภาครัฐจะตัดสินใจเลื่อนแผนการขุ้นค่าน้ำออกไปก่อน แต่นั่นก็ทำให้ความเสี่ยงที่ค่าครองชีพสูงขึ้นเป็นเงาตามตัวได้เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าเราจะหมดหนทางเสียทีเดียว เพราะ FINN MOBILE ใจดีมอบส่วนลด เพื่อให้ลูกค้ามีเงินเหลือไปใช้ชีวิตที่อยากจะเป็น เราจึงเลือกแร็บก๊อกน้ำตามอาคารสำนักงาน ชี้เป้าค่าครองชีพที่มีแนวโน้มสูงขึ้น
และอีกจุดชี้เป้าค่าครองชีพก็คือ #น้ำมัน แม้วิกฤตน้ำมันแพงจะคลี่คลายลงไปบ้างแล้ว แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า พลังงานน้ำมันเป็นพื้นฐานการผลิตสาธารณูปโภคและผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกมากมาย เมื่อควบคุมน้ำมันไม่ได้ แต่ค่ามือถือ FINN MOBILE ช่วยได้ เราจึงใช้สติ๊กเกอร์ติดที่ฝาถังน้ำมันรถแท็กซี่สื่อสารถึงยุคข้าวยากหมากแพง
จะเห็นได้ว่าในปี 2565 ที่กำลังจะหมดปีนี้ คนไทยทุกคนต่างประสบกับปัญหานานัปการ แม้สถานการณ์โควิด-19 ที่ลากยามากว่า 2 ปีจะคลี่คลายลงบ้าง แต่วิกฤตใหม่ก็มาซ้ำเติม โดยเฉพาะปัญหาค่าครองชีพที่ส่วนใหญ่ “ควบคุมไม่ได้” แต่อย่างหนึ่งที่ควบคุมได้และเสนอหั่นราคาลงไปถึง 75% ก็คือแพ็คเกจมือถือจาก FINN MOBILE ที่ต้องการเดินเคียงข้างไปกับคนไทยในทุกวิกฤต เพื่อให้ลูกค้าได้ใช้ชีวิตที่ Make Sense