“FOOD HAS A NEW HOME” ชูจุดเด่นธุรกิจ B2B มอบโซลูชันผลิตภัณฑ์อาหารแบบ End to End ผลักดันความสำเร็จให้ธุรกิจอาหาร

 

หนึ่งในความท้าทายของอุตสาหกรรมอาหารในโลกยุคหลังโควิดเรื่องหนึ่งก็คือ ทำอย่างไรจึงจะตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วได้ ผลจากวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปไม่ว่าจะเป็นการทำงานที่บ้าน การทำอาหารกินเองมากขึ้น รวมไปถึงมีแนวคิดในการให้ความสำคัญด้านสุขภาพรวมถึงการใส่ใจสิ่งแวดล้อม

นั่นจึงเป็นโอกาสที่ Tetra Pak บริษัทผู้นำด้านการแปรรูปและผลิตบรรจุภัณฑ์ผลักดันแคมเปญ “Food Has A New Home”  เดินหน้าธุรกิจแบบ B2B  ที่จะช่วยผลักดันให้ผู้ประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมอาหารให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จในยุคนี้ด้วยเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ใหม่ๆ พร้อมนำเสนอโซลูชันแบบ End to End ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำเพื่อการก้าวสู่ความสำเร็จไปด้วยกัน

 

FOOD HAS A NEW HOME 

คุณสุภนัฐ รัตนทิพ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของ Tetra Pak บริษัทที่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมอาหารมายาวนานถึง 70 ปี ได้เล่าถึงที่มาของแคมเปญ “Food Has A New Home” ในครั้งนี้ว่า เป็นแคมเปญที่ Tetra Pak ตั้งใจจะเปิดมิติใหม่ให้กับผลิตภัณฑ์อาหารผ่านโซลูชันการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารแบบครบวงจรตั้งแต่กระบวนการผลิตและบรรจุภัณฑ์ไปจนถึงบริการหลังการขาย รวมถึงการบริการให้ข้อมูลทางการตลาดเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเติบโตไปอย่างยั่งยืน

แม่ทัพการตลาดของ Tetra Pak ระบุว่า คนส่วนใหญ่จะรู้จัก Tetra Pak ในฐานะผู้ให้บริการโซลูชันแบบครบวงจรสำหรับเครื่องดื่ม นม นมถั่วเหลือง น้ำผลไม้ต่างๆ แต่ยังมีไม่มากที่รู้ว่า Tetra Pak นั้นมีศักยภาพในการนำเสนอโซลูชันสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารได้หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นซุป ซอสปรุงรส น้ำจิ้ม น้ำสลัด อาหารสำเร็จรูป อาหารสำหรับทารก ผักต่างๆ รวมถึงอาหารสัตว์เลี้ยงด้วย จึงเป็นสิ่งที่เราอยากจะนำเสนอไปด้วยว่า ศักยภาพของเราไม่ได้มีแต่เครื่องดื่มแต่มีอาหารแบบต่างๆ ด้วยเช่นกัน

 

อุตสาหกรรมอาหารพร้อมปรุงและพร้อมทานกำลังเติบโต

 

Tetra Pak นั้นมีความเชี่ยวชาญในด้านอุตสาหกรรมอาหารโดยเฉพาะอาหารในรูปแบบพร้อมปรุงและพร้อมทาน ที่ในเวลานี้กำลังเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะเพิ่งผ่านวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงเกือบ 3 ปีที่ผ่านมาก็ตาม ซึ่งคุณสุภนัฐ มองว่านั่นเป็นโอกาสสำหรับบรรดาผู้ประกอบการอาหารที่จะเติบโตไปพร้อมกับตลาด โดยเฉพาะประเทศไทยที่ได้ชื่อว่าเป็น “ครัวของโลก” เนื่องจากส่งออกอาหารเป็นอันดับที่ 13 ของโลก และกว่าครึ่งของการส่งออกเป็นอาหารแปรรูป โดยเฉพาะอาหารพร้อมทานที่เติบโตขึ้นถึง 7.7% เมื่อปี 2021 ที่ผ่านมา ขณะที่มีการคาดการณ์ว่ามูลค่าส่งออกอาหารไทยในปีนี้จะไปถึง 1.2 ล้านล้านบาท และมีการคาดการณ์ว่าตลาดอาหารในประเทศไทยจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 5.8% ไปจนถึงปี 2027 เลยทีเดียว

 

นำเสนอโซลูชันเพื่อตอบสนองเทรนด์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

ปัจจุบันเทรนด์ของผู้บริโภคมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น เลือกทานอาหารที่นอกจากจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพและภูมิคุ้มกันแล้ว ยังให้ความสำคัญกับเรื่องความสะดวกสบาย สะอาดและปลอดภัย เนื่องจากวิถีชีวิตที่อยู่บ้านมากขึ้น ทำอาหารทานเองมากขึ้น การซื้อของผ่านช่องทางออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น รวมไปถึงการให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม

เทรนด์เหล่านี้ คุณสุภนัฐระบุว่า Tetra Pak มีบริการที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี Tetra Recart (Retortable Carton) หรือเทคโนโลยีกล่องบรรจุภัณฑ์ที่สามารถบรรจุอาหาร ด้วยระบบถนอมอาหารแบบ Retort หรือการนึ่งฆ่าเชื้อ ที่ทำให้อาหารคงรสชาติและเก็บได้ยาวนานโดยไม่ต้องแช่ตู้เย็นได้ยาวนานสูงสุดถึง 24 เดือน

 

 

กล่อง Tetra Recart ยังให้ความสะดวกในการใช้งานได้ง่ายโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ในการเปิด และยังมีหลากหลายขนาด ซึ่งเทคโนโลยีนี้ตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย ทั้งในส่วนของผู้บริโภคที่เป็นไลฟ์สไตล์คนเมืองหรือครอบครัวเดี่ยวที่ชอบประกอบอาหารมื้อเล็กๆ ผลิตภัณฑ์ที่บรรจุอยู่ในกล่อง Tetra Recart ก็สามารถดูแลรักษาง่าย สะดวกสบายในการจัดเก็บโดยไม่เปลืองเนื้อที่ และในส่วนของผู้ผลิตก็ยังได้รับประโยชน์ในการขนส่ง ทั้งในและต่างประเทศ เนื่องจากกล่อง Tetra Recart มีน้ำหนักเบาและดูแลผลิตภัณฑ์อาหารได้อย่างปลอดภัย เหมาะสมกับเทรนด์การสั่งสินค้าออนไลน์ที่กำลังเติบโต

นอกจากนี้ กล่อง Tetra Recart ยังตอบโจทย์เทรนด์ด้านสิ่งแวดล้อมที่ผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญมากขึ้นด้วย เพราะบรรจุภัณฑ์ของ Tetra Pak ใช้วัสดุหลักจากต้นไม้ที่มาจากป่าปลูกเชิงพาณิชย์ ที่สามารถปลูกทดแทนใหม่ได้ ผ่านการรับรองจากองค์การจัดการป่าไม้หรือ FSC™  ขณะที่บรรจุภัณฑ์เมื่อใช้แล้วก็ยังสามารถนำไปรีไซเคิลต่อได้อีก ยังไม่นับรวมถึงกระบวนการผลิตที่สอดคล้องกับแนวคิดความยั่งยืนที่ Tetra Pak เน้นมาโดยตลอด

 

Tetra Pak กับการนำเสนอโซลูชันแบบ End to End

จุดเด่นของ Tetra Pak ไม่ได้มีเฉพาะเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์เท่านั้น แต่ในเวลานี้ Tetra Pak มีบริการเต็มรูปแบบ เพื่อเข้าไปช่วยพาร์ตเนอร์ในอุตสาหกรรมอาหารให้ประสบความสำเร็จ เรียกว่าเป็นการนำเสนอโซลูชันแบบ End to End ซึ่งคุณสุภนัฐ เล่าว่า Tetra Pak ให้บริการแบบครบวงจรตั้งแต่กระบวนการผลิต การบรรจุ และบรรจุภัณฑ์ มีการควบคุมการจัดการของเสียในสายการผลิต บริการหลังการขาย รวมไปถึงบริการให้คำปรึกษาด้านการตลาดเพื่อให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนด้วย บริการทั้งหมดนี้สามารถ Customize ให้เหมาะสมกับธุรกิจของลูกค้าได้ทั้งหมดไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่

“เรามีอุปกรณ์มาจัดการตั้งแต่ต้นเพื่อทำเป็นอาหารขึ้นมา เช่น เครื่องปั่นอาหารระดับอุตสาหกรรม สามารถปั่น ของเหลวกับของเหลว ของเหลวกับผง มะเขือเทศปั่นเป็นซุป เป็นต้น โดยเทคโนโลยีนี้จดสิทธิบัตรด้วย เป็นเอกลักษณ์ของ Tetra Pak จากนั้นก็มีการบรรจุลงบรรจุภัณฑ์ Tetra Recart แล้วก็เข้าสู่ระบบ Retort คือการนึ่งฆ่าเชื้อ นำไปสู่การขนส่ง นั่นคือต้นทางไปยังปลายทาง” คุณสุภนัฐ ระบุ

นอกจากนี้คุณสุภนัฐ ยังเล่าด้วยว่าสิ่งที่ Tetra Pak มีแตกต่างจากที่อื่นก็คือจะมีทีม Marketing ที่จะเข้าไปช่วยลูกค้าศึกษาเทรนด์ ผ่านการวิจัยผู้บริโภค หาโอกาสทางการตลาดเพื่อพัฒนาสินค้าใหม่ๆ เพื่อให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืน ขณะที่ในฝั่งโรงงานเองต้นทุนก็ลดลงด้วย สิ่งนี้คือโซลูชันแบบ End to End ที่ให้ได้มากกว่า

 

พัฒนาโจ๊กบรรจุกล่องครั้งแรกของโลก   

สำหรับความสำเร็จของ Tetra Pak ในการจับมือกับพาร์ตเนอร์พัฒนาอาหารออกสู่ตลาดด้วยบริการแบบ End to End นั้น คุณสุภนัฐ เล่าถึงการร่วมมือกับโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา พัฒนาผลิตภัณฑ์โจ๊กบรรจุกล่องและออกวางตลาดได้สำเร็จเป็นครั้งแรกของโลกด้วย

 

 

“ทางแบรนด์จิตรลดามีความเห็นว่า อยากจะเปลี่ยนผลิตภัณฑ์โจ๊กเดิมที่บรรจุอยู่ในกระป๋องให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เราจึงเห็นว่าเป็นจุดที่สามารถต่อยอดธุรกิจให้ลูกค้าของเราได้ ทาง Tetra Pak จึงเข้าไปช่วยพัฒนาสูตรโดยการที่  Food Development Center ของเราที่สวีเดน ได้เอาสินค้าที่เราต้องการไปทดลองบรรจุ ปรับสูตร ปรับเครื่องจักรต่างๆ เพื่อผลิตให้มีความเหมาะสมทั้งชิ้นเนื้อไก่ เท็กซ์เจอร์ของข้าวที่มีความหนืด ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับ Tetra Pak เช่นกัน” คุณสุภนัฐ ระบุ

 

อนาคตอุตสาหกรรมอาหารจะเติบโตต่อเนื่อง

คุณสุภนัฐมองอนาคตอุตสาหกรรมอาหารเอาไว้ว่า ธุรกิจอาหารจะยังเติบโตต่อเนื่องต่อไป โดยหากมองมุมกว้างจะเป็น เรื่องของ Globalization มากขึ้น อาหารจะมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น  ส่วนในแง่ของการผลิตบรรจุภัณฑ์ที่แคบเข้ามาในสังคมไทย ต้องยอมรับว่าเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมากขึ้น เพราะฉะนั้นผู้บริโภคที่สูงวัยมากขึ้นการใช้งานบรรจุภัณฑ์ต่างๆ ต้องสะดวกในการแกะ จับ ถือ ต้องไม่หล่นง่าย ในขณะเดียวกัน กลุ่มคนที่ไม่สูงวัย ก็จะเน้นอยู่คนเดียวหรืออาศัยตามคอนโดมากขึ้น เพราะฉะนั้นเรื่องของขนาดที่เหมาะสมต่อการบริโภคต่อครั้งก็จะเป็นเรื่องสำคัญ พื้นที่ในการจัดเก็บมีน้อยดังนั้นการซื้อของตุนนานๆ ก็คงจะทำไม่ได้ เป็นเรื่องของการใช้หมดครั้งเดียว ดังนั้นการจับจ่าย การคุมเงินในกระเป๋าก็จะมีมากขึ้นก็จะเป็นอนาคตที่ภาคธุรกิจอาหารกำลังมองเห็น

 

 

Tetra Pak พร้อมเติบโตไปกับพาร์ทเนอร์ทั้งเล็กและใหญ่

คุณสุภนัฐ ฝากถึงบรรดาผู้ประกอบการ SME ที่สนใจหรือกำลังหาโซลูชันเพื่อผลักดันธุรกิจอาหารต่อยอดและเติบโตต่อไปได้ตั้งแต่เริ่มต้นจากธุรกิจเล็กๆ เรื่อยไปถึงการขยายกำลังผลิตเพื่อการเติบโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งนวัตกรรมของ Tetra Pak ที่จะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้เป็นอย่างดี

“แนวทางการทำงานกับลูกค้านั้น เราไม่ได้มองว่าเป็นเพียงแค่คู่ค้า แต่เราจะมองเขาเป็นพาร์ทเนอร์ที่เราให้ความสำคัญ เพราะธุรกิจของเราจะต้องโตไปพร้อมๆ กัน ดังนั้นเราจะทำงานแบบเป็นคู่คิด มีความโปร่งใส ลูกค้าอยากได้อะไรเราก็ต้องทำความเข้าใจให้ลึก  เพราะถ้าเราเข้าใจเขาได้ตรงจุดรู้ว่าเขาต้องการอะไรเราก็จะสามารถออกแบบได้ตามความต้องการมากที่สุด เพื่อให้เขาสามารถต่อยอดธุรกิจของเขาได้” คุณสุภนัฐ ระบุ

ทั้งหมดนั้นคือแคมเปญ FOOD HAS A NEW HOME ที่ Tetra Pak พร้อมที่จะเป็นบ้านหลังใหม่ให้กับผลิตภัณฑ์อาหารของผู้ประกอบการที่ต้องการจะเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการนำเสนอโซลูชันแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ  พร้อมเป็นลมใต้ปีกให้ผู้ผลิตอาหารทั้งเล็กและใหญ่ ให้มีสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปในยุคนี้ และเตรียมพร้อมกับอนาคตของอุตสาหกรรมที่กำลังจะมาถึงด้วยเช่นกัน

สนใจแคมเปญ Food Has a New Home ติดตามได้ ที่นี่